ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2 ที่ขยายตัวสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี ขณะที่นักลงทุนซึมซับผลการประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งที่ประชุมมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,439.93 จุด เพิ่มขึ้น 54.65 จุด หรือ +0.21% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,914.00 จุด เพิ่มขึ้น 8.03 จุด หรือ +0.28% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,041.97 จุด เพิ่มขึ้น 51.60 จุด หรือ +0.65%
ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้นขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า GDP ประจำไตรมาส 2 ของสหรัฐขยายตัวที่ระดับ 4.2% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี หลังจากขยายตัวเพียง 2.2% ในไตรมาสแรก
ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 4.5% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 6 เดือน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากคำสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์
นอกจากนี้ นักลงทุนได้ซึมซับผลการประชุมของคณะกรรมการเฟดซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยที่ประชุมมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ พร้อมส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค.ปีนี้
เฟดได้แสดงมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจ โดยระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นอย่างมาก ขณะที่การใช้จ่ายในภาคครัวเรือน และการลงทุนในสินทรัพย์คงที่ของภาคธุรกิจได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ เฟดได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 3.1% จากเดิมที่ 2.8% และปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ในปีหน้าสู่ระดับ 2.5% จากเดิมที่ 2.4%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น โดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.1% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นของแอปเปิลสู่ระดับ 272 ดอลลาร์ ขณะที่หุ้นเฟซบุ๊ก และหุ้นอัลฟาเบท ต่างก็พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 0.4% หุ้นอเมซอนดอทคอม ปรับตัวขึ้น 1.9% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดีดตัวขึ้น 0.7%
หุ้น Saleforce.com ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ พุ่งขึ้น 1.3% หลังจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ในปีงบการเงิน 2561
หุ้นแมคคอร์มิค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทอาหารรายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลง 1.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายรายไตรมาสที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของวอลล์สตรีท
หุ้นเทสลา ปรับตัวลง 0.7% หลังจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ได้ยื่นฟ้องนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลา จากกรณีที่นายมัสก์ได้ทวีตข้อความก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการนำเทสลาออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด
ทั้งนี้ นายมัสก์ได้ทวีตข้อความในวันที่ 7 ส.ค.ว่า เขามีแผนที่จะนำบริษัทเทสลาออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาด โดยเขามีแหล่งเงินทุนที่จะเข้าซื้อหุ้นที่ระดับราคา 420 ดอลลาร์ ซึ่งข่าวนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นเทสลาพุ่งขึ้นแตะ 387.46 ดอลลาร์ในวันดังกล่าว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้ว เพิ่มขึ้น 12,000 ราย สู่ระดับ 214,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนส.ค. อันเนื่องมาจากผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนฟลอเรนซ์
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน