ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) หลังจากปิดแดนบวกมาสามวันติดต่อกัน โดยความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลี รวมทั้งงบประมาณขาดดุลที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นลอนดอน รวมถึงตลาดอื่นๆทั่วยุโรป โดยหุ้นกลุ่มการเงินถูกกดดันหนักสุด ขณะที่หุ้นกลุ่มประกันภัยร่วงลงเช่นกัน หลังสภาพอากาศที่แปรปรวนทำยอดเคลมประกันพุ่ง
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,510.20 จุด ลดลง 35.24 จุด หรือ -0.47% อย่างไรก็ดี ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีขยับขึ้นราว 0.26% และปรับตัวขึ้น 1% ในรอบเดือนที่ผ่านมา
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ด้านงบประมาณของอิตาลีอย่างใกล้ชิด หลังมีรายงานว่า รัฐบาลอิตาลีภายใต้การนำของพรรคไฟว์ สตาร์ และพรรคเดอะ ลีก เห็นพ้องให้มีการกำหนดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปีหน้าไว้ที่ 2.4% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลชุดก่อนถึง 3 เท่า และคาดว่าจะทำให้สหภาพยุโรป (EU) แสดงความไม่เห็นด้วย
รัฐบาลอิตาลีได้ขยายเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2562 เพื่อหนุนนโยบายจากแคมเปญการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกับ EU
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วยุโรปร่วงหนักในช่วงบ่าย เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอิตาลีที่พุ่งสูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลอิตาลีพุ่งขึ้น สืบเนื่องจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลผสมชุดใหม่
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นลอนดอนสามารถพยุงตัวในชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขาย และลดช่วงลบเมื่อปิดตลาด
หุ้นแรนโกลด์ รีซอร์สเซส ทะยาน 3.61% เป็นแกนนำหุ้นบวก ตามด้วยหุ้นไมโคร โฟกัส อินเตอร์เนชั่นแนล และ เนกซ์ ปรับตัวขึ้น 3.10% และ 3.04% ตามลำดับ หุ้นโรล-รอยซ์ บวก 2.8%
หุ้นกลุ่มการเงินถูกเทขายจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในอิตาลี นำโดยหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป และรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ ที่ต่างร่วงลง 2.5%
ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มประกันภัยได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวน จนทำให้ยอดเคลมประกันพุ่งสูง โดยหุ้นอาร์เอสเอ อินชัวรันซ์ กรุ๊ป ร่วงนำตลาด 9.31% หลังบริษัทเผยว่ามียอดขาดทุนจากการรับประกันภัยประมาณ 70 ล้านปอนด์ในไตรมาสสาม เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายที่ส่งผลให้การเรียกร้องค่าสินไหม หรือการเคลมประกันพุ่งสูง