ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 122.73 จุด รับหุ้นอุตสาหกรรมพุ่ง ขณะหุ้นเทคโนฯร่วงฉุด Nasdaq ปิดลบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 3, 2018 06:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (2 ต.ค.) ทำสถิติปิดในแดนบวกติดต่อกัน 4 วันทำการ โดยตลาดได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์และหุ้นโบอิ้ง อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เพราะได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะหุ้นเฟซบุ๊กที่ดิ่งลงเกือบ 2% อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,773.94 จุด พุ่งขึ้น 122.73 จุด หรือ +0.46% ขณะที่ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 2,923.43 จุด ลดลง 1.16 จุด หรือ -0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,999.55 จุด ลดลง 37.76 จุด หรือ -0.47%

ดัชนีดาวโจนส์ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหุ้นบริษัทโบอิ้งและแคทเธอร์พิลลาร์ที่ถือเป็นตัวชี้วัดการค้าของสหรัฐ เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีการลงทุนจำนวนมากในต่างประเทศ โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 1.6% หุ้นโบอิ้ง เพิ่มขึ้น 0.7% หุ้น 3M พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้น 0.4% และหุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก เพิ่มขึ้น 0.3% หุ้นอีตัน คอร์ป เพิ่มขึ้น 0.5%

หุ้นอินเทลพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 3.5% และเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ หลังจากมีรายงานว่าทางบริษัทอาจเร่งการผลิตชิป "10-nanometer" เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะผลิตในเดือนมิ.ย.ปีหน้า

หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นคอนโซลิเดทเต็ด เอดิสัน อิงค์ พุ่งขึ้น 1.7%

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 2 โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 1.91% หลังจากทีมวิศวกรของเฟซบุ๊กตรวจพบปัญหาด้านความปลอดภัยที่เปิดช่องโหว่ให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลของบัญชีผู้ใช้เฟซบุ๊กเกือบ 50 ล้านบัญชี โดยแฮกเกอร์ได้อาศัยช่องโหว่ในฟีเจอร์ "View As" ของเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ทำให้เห็นว่าคนอื่นๆ มองเห็นหน้าโปรไฟล์ของตนเองอย่างไร และช่องโหว่ดังกล่าวเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้ามาขโมยโทเคน หรือกุญแจดิจิทัล เพื่อเจาะเข้าบัญชีผู้ใช้คนอื่นได้

ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นอเมซอนดอทคอม ร่วงลง 1.7% หลังจากบริษัทประกาศขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับพนักงานทั่วสหรัฐสู่ระดับ 15 ดอลลาร์/ชั่วโมง หรือราว 485 บาท/ชั่วโมง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. ขณะที่หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 1.1% และหุ้นไมโครซอฟท์ ปรับตัวลง 0.4%

หุ้นเทสลา ร่วงลง 3.1% แม้บริษัทเปิดเผยยอดการผลิตรถยนต์รุ่น Model 3 จำนวน 55,840 คัน ซึ่งสูงกว่าที่นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลา คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 50,000-55,000 คัน

หุ้นเป๊ปซี่โค ร่วงลง 1.8% แม้บริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.59 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 1.57 ดอลลาร์/หุ้น และรายได้อยู่ที่ระดับ 1.649 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 1.636 หมื่นล้านดอลลาร์

สำหรับความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจที่นักลงทุนให้ความสนใจนั้น นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวเมื่อวานนี้ว่า เฟดสามารถสกัดอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ด้วยการชี้นำการคาดการณ์ในตลาด แม้ว่าอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ นายพาวเวลยังระบุว่า เฟดจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังจากที่ได้เริ่มวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.2558

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวจะบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ย.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนก.ย. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนส.ค. และดุลการค้าเดือนส.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ