ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงในวันนี้ ขณะที่ถูกกดดันจากความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจจีนอาจได้รับผลกระทบมากกว่าที่คาดไว้จากการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างสหภาพยุโรปและอิตาลีเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอิตาลี
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกถ่วงลงจากการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยุโรป ซึ่งปรับตัวขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ร่วงลง 1.1% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนในวันนี้ ขณะที่ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีดิ่งลง 1.4% และดัชนี FTSE MIB ของตลาดหุ้นอิตาลีทรุดตัวลง 2.4% แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 17 เดือน
นักลงทุนมีความวิตกว่า เศรษฐกิจจีนกำลังได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ หลังจากที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 1% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.
ตลาดพันธบัตร และหน่วยงานราชการสหรัฐปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันโคลัมบัส แต่ตลาดหลักทรัพย์, สินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดปริวรรตเงินตราสหรัฐ ยังคงเปิดทำการ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทะยานขึ้นในวันศุกร์ที่แล้ว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งเหนือระดับ 3.240% แตะระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 7 ปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปีทะลุระดับ 3.40% หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนก.ย. โดยเพิ่มขึ้นเพียง 134,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 185,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 3.8%
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.3% ในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% เช่นเดียวกันในเดือนส.ค. และเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐ (CPI) ในวันพฤหัสบดี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี CPI จะปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. เช่นเดียวกับในเดือนส.ค.
หากตัวเลข CPI ดีดตัวขึ้นมากกว่าระดับ 0.2% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ จะเป็นปัจจัยเพิ่มการคาดการณ์เกี่ยวกับการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
เมื่อเดือนที่แล้ว เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือนธ.ค. และปรับขึ้น 3 ครั้งในปีหน้า และอีก 1 ครั้งในปี 2563