ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (10 ต.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นสหรัฐที่ดิ่งลงอย่างหนัก หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป (EU) ในประเด็นข้อตกลงว่าด้วยการที่สหราชอาณาจักรแยกตัวจาก EU (Brexit)
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,145.74 จุด ลดลง 91.85 จุด หรือ -1.27%
ตลาดหุ้นลอนดอนร่วงลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก โดยดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กดิ่งลงกว่า 800 จุดเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน โดยเมื่อเวลา 20.04 น.ตามเวลาไทยเมื่อคืนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 3.241% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.401%
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศยุโรปปรับตัวขึ้นเช่นกัน ซึ่งรวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 2.98%
หุ้นมอนดิ ซึ่งเป็นบริษัทบรรจุภัณฑ์ ร่วงลง 8.7% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในบรรดาหุ้นที่คำนวณในดัชนี FTSE 100 ขณะที่หุ้นเบอร์เบอร์รี่ ผู้จำหน่ายสินค้าหรู ร่วงลงกว่า 8%
ส่วนคิงฟิสเชอร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านของอังกฤษ ดีดตัวขึ้น 3.6% ขณะที่หุ้นบีที กรุ๊ป และหุ้นยูไนเต็ด ยูทิลิตี้ส์ พุ่งขึ้น 3.6% และ 3.4% ตามลำดับ
นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจา Brexit โดยนายมิเชล บาร์นิเยร์ ตัวแทนเจรจาฝ่าย EU ในประเด็น Brexit กล่าวว่า มีความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลง Brexit กับอังกฤษ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับชายแดนของประเทศไอร์แลนด์
นอกจากนี้ นายบาร์นิเยร์ยังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้อังกฤษและ EU สามารถเห็นพ้องกันในเนื้อหาราว 80-85% ในข้อตกลง Brexit