ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (1 พ.ย.) ขานรับผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินยูโรและเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติ
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.4% ปิดที่ 363.08 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,468.54 จุด เพิ่มขึ้น 21.03 จุด หรือ +0.18% ขณะที่ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,085.78 จุด ลดลง 7.65 จุด หรือ -0.15% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,114.66 จุด ลดลง 13.44 จุด หรือ -0.19%
หุ้นอาร์เซลอร์ มิตตัล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ระดับโลก ปรับตัวขึ้น 0.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ที่แข็งแกร่งเกินคาด
ขณะที่หุ้นเฟียต ไคร์สเลอร์ ออสโตโมบิลส์ พุ่งขึ้น 1.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายในไตรมาส 3 พุ่งขึ้น 16% แตะที่ระดับ 177,391 คัน
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากเงินยูโรและเงินปอนด์ที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังจากเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของอังกฤษกล่าวว่า สหราชอาณาจักรและ EU ใกล้บรรลุข้อตกลงในภาคบริการทางการเงินแล้ว ซึ่งจะทำให้กรุงลอนดอนสามารถเข้าถึงตลาดการเงินใน EU หลังจากที่สหราชอาณาจักรแยกตัวออกจาก EU
ทั้งนี้ กรุงลอนดอน ถือเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีการบริหารสินทรัพย์ทางการเงินของ EU คิดเป็นสัดส่วนราว 37% มูลค่า 6 ล้านล้านยูโร (6.82 ล้านล้านดอลลาร์) หรือเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับกรุงปารีสของฝรั่งเศส
นอกจากนี้ เงินปอนด์ยังแข็งค่าขึ้นหลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด หากกระบวนการแยกตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เป็นไปอย่างราบรื่น