ดาวโจนส์ดิ่งกว่า 200 จุด ทันทีที่มีข่าว"ทรัมป์"ไม่ได้สั่งการให้มีการร่างข้อตกลงการค้ากับจีน

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 2, 2018 23:59 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งกว่า 200 จุด ทันทีที่มีข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ดาวโจนส์ยังถูกกระทบจากการทรุดตัวลงของราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ รวมทั้งการที่นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3% ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่

ณ เวลา 23.50 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,175.16 จุด ลดลง 205.58 จุด หรือ 0.81%

นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแต่อย่างใด

นายคุดโลว์กล่าว หลังจากที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานวานนี้โดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการร่างข้อตกลงการค้ากับจีนแล้ว ก่อนที่ปธน.ทรัมป์มีกำหนดพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินา โดยการประชุม G20 มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค.

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 3 รายในรัฐบาลของปธน.ทรัมป์ก็ได้กล่าวว่า ไม่มีสิ่งบ่งชี้ว่าสหรัฐใกล้บรรลุข้อตกลงการค้ากับจีน

ทางด้านปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความเมื่อวานนี้ว่า เขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับปธน.สี จิ้นผิง เพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งการหารือดังกล่าวเป็นไปด้วยดี

"ผมเพิ่งมีการสนทนาที่ใช้เวลานาน และเป็นไปอย่างดีมากกับท่านประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน เราได้คุยกันในหลายประเด็น โดยเน้นหนักทางด้านการค้า ซึ่งการหารือดังกล่าวเป็นไปด้วยดี โดยเรามีกำหนดพบปะกันในการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินา และเรายังมีการหารือกันเป็นอย่างดีเกี่ยวกับเกาหลีเหนือ" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ

ราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์จำนวน 30 หลักทรัพย์ที่ใช้คำนวณดัชนีดาวโจนส์ ทรุดตัวลงกว่า 6% ในวันนี้ หลังจากที่ทางบริษัทเปิดเผยยอดขาย iPhone ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายหุ้นแอปเปิล หลังจากที่บริษัทประกาศปรับการรายงานผลประกอบการ โดยจะยกเลิกการรายงานยอดขายของ iPhone, iPad และ Mac โดยเริ่มตั้งแต่ไตรมาสถัดไป ซึ่งสร้างความประหลาดใจต่อนักลงทุน

นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่แอปเปิลประกาศเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรายงานผลประกอบการดังกล่าว เป็นการแสดงว่าบริษัทอาจต้องการปกปิดบางสิ่งบางอย่าง ขณะที่แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของบริษัท โดยระบุถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ แอปเปิลเปิดเผยผลประกอบการสูงกว่าคาดประจำเดือนก.ค.-ก.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 4 ตามปีงบการเงินของบริษัท โดยระบุว่า บริษัทมีรายได้ที่ระดับ 6.29 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ระดับ 5.258 หมื่นล้านดอลลาร์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6.146 หมื่นล้านดอลลาร์

ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.41 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 2.91 ดอลลาร์/หุ้น เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 2.07 ดอลลาร์/หุ้น และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า กำไรสุทธิจะอยู่ที่ระดับ 2.78 ดอลลาร์/หุ้น

แอปเปิลระบุว่า บริษัทมียอดขายผลิตภัณฑ์ iPhone ในไตรมาส 4 ของปีงบการเงินบริษัท ที่ระดับ 46.9 ล้านเครื่อง และมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ iPhone ที่ระดับ 3.72 หมื่นล้านดอลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ยอดขาย iPhone จะอยู่ที่ระดับ 47 ล้านเครื่อง และรายได้จากการขาย iPhone จะอยู่ที่ 3.56 หมื่นล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ แอปเปิลยังได้คาดการณ์รายได้ในไตรมาส 1 ของปีงบการเงิน 2562 ของบริษัทในช่วง 8.9-9.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 9.29 หมื่นล้านดอลลาร์

ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนต.ค. โดยเพิ่มขึ้น 250,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 190,000 ตำแหน่ง

ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 3.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512 และสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 5 เซนต์ หรือ 0.2% ในเดือนต.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย.

เมื่อเทียบรายปี ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานเพิ่มขึ้น 3.1% ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงพุ่งขึ้นทะลุ 3% นับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่

ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ