ดาวโจนส์บวก ขณะรอผลการเลือกตั้งสหรัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 6, 2018 22:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ

ผลการสำรวจของเอ็นบีซี นิวส์/วอลล์สตรีท เจอร์นัลเมื่อวันอาทิตย์พบว่า พรรคเดโมแครตยังคงมีคะแนนนำพรรครีพับลิกันอยู่ 7% โดยอยู่ที่ 50% ต่อ 43% ในการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐที่มีขึ้นในวันนี้

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 7-8 พ.ย. โดยมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้

ณ เวลา 22.05 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,529.62 จุด เพิ่มขึ้น 67.92 จุด หรือ 0.27%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นแอปเปิลทะยานขึ้นมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก

ชาวอเมริกันเริ่มออกไปหย่อนบัตรลงคะแนนในการเลือกตั้งกลางเทอมที่คูหาใน 12 รัฐในขณะนี้แล้ว ซึ่งการเลือกตั้งดังกล่าวถือเป็นการวัดกระแสความนิยมของประชาชนต่อการบริหารประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

อย่างไรก็ดี ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ได้ใช้สิทธิลงคะแนนล่วงหน้าแล้ว โดยจากการรายงานของ 49 รัฐ ปรากฎว่า มีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งแล้วจำนวน 36.4 ล้านคนก่อนถึงกำหนดเลือกตั้งในวันนี้

ขณะเดียวกัน 30 รัฐรายงานตัวเลขผู้ใช้สิทธิลงคะแนนล่วงหน้ามากกว่าการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2557

ทั้งนี้ การเลือกตั้งกลางเทอมจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐทั้งสภาจำนวน 435 คน ขณะที่เลือกสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 35 คนจากทั้งหมด 100 คน รวมทั้งเลือกผู้ว่าการรัฐ 36 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าพรรคเดโมแครตจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ส่วนพรรครีพับลิกันครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา ซึ่งหากผลการเลือกตั้งออกมาตามคาด ก็จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น

หากพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ทั้ง 2 สภา สิ่งนี้ก็จะทำให้ตลาดหุ้นพุ่งขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากจะทำให้รัฐบาลมีแนวโน้มออกมาตรการปรับลดอัตราภาษีต่อไป

แต่หากพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภา ก็จะทำให้ตลาดหุ้นถูกกดดัน เนื่องจากจะทำให้การผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของปธน.ทรัมป์ เป็นไปอย่างลำบาก

แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์เปิดเผยสถิติการปรับตัวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในอดีตต่อผลการเลือกตั้งในสหรัฐพบว่า ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันแบ่งกันครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรส

ทั้งนี้ ในกรณีที่ประธานาธิบดีมาจากพรรครีพับลิกัน ส่วนพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันแบ่งกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ก็จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน 12% ต่อปี ซึ่งนักวิเคราะห์ก็คาดการณ์เช่นกันว่า การเลือกตั้งกลางเทอมในครั้งนี้ พรรคเดโมแครตจะครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่พรรครีพับลิกันจะครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา ซึ่งหากผลการเลือกตั้งออกมาสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นผลบวกต่อตลาดวอลล์สตรีท

นอกจากนี้ ในกรณีที่ประธานาธิบดีมาจากพรรคเดโมแครต ส่วนพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันแบ่งกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ก็จะส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนมากถึง 16% ต่อปี

ขณะเดียวกัน หากประธานาธิบดีมาจากพรรครีพับลิกัน ส่วนพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ก็จะทำให้ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน 8.6% ต่อปี อย่างไรก็ดี หากพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากทั้ง 2 สภาในครั้งนี้ ก็จะสร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เนื่องจากจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองมากขึ้น จากการที่พรรคเดโมแครตจะเพิ่มการตรวจสอบปธน.ทรัมป์ และขัดขวางนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ปธน.ทรัมป์พยายามที่จะผลักดันผ่านสภาคองเกรส รวมทั้งจะเพิ่มโอกาสที่หน่วยงานของรัฐบาลจะเผชิญกับการถูกปิดการดำเนินงาน (ชัตดาวน์) เนื่องจากเกิดความขัดแย้งด้านงบประมาณ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ