ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 พ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของยูโรโซนร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการของเยอรมนีร่วงลงอย่างหนักเช่นกัน นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะรู้ผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.3% ปิดที่ 362.55 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,484.34 จุด ลดลง 10.62 จุด หรือ -0.09% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,075.19 จุด ลดลง 26.20 จุด หรือ -0.51% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,040.68 จุด ลดลง 63.16 จุด, -0.89%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดอ่อนแรงลง หลังจากไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ปรับตัวลงสู่ระดับ 53.7 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2560 จากระดับ 54.7 ในเดือนก.ย. โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่, การจ้างงาน และความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ
ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการขั้นสุดท้ายของเยอรมนี อยู่ที่ 54.7 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน และต่ำกว่าระดับ 55.9 ในเดือนก.ย. โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านงบประมาณของรัฐบาลอิตาลี หลังจากนายจิโอวานโน เทรีย รัฐมนตรีคลังของอิตาลีกล่าวว่า รัฐบาลจะไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2562 แม้คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของ EU ได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวก็ตาม
ทั้งนี้ รัฐบาลอิตาลีได้เพิ่มตัวเลขขาดดุลงบประมาณสู่ระดับ 2.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี 2562 แต่คณะกรรมการ EU มองว่าตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับที่สูงมาก และอิตาลีควรดำเนินการไปสู่การมีงบประมาณสมดุล เนื่องจากอิตาลีมีหนี้ในภาครัฐจำนวนมาก
หุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มเวชภัณฑ์ปิดตลาดปรับตัวลง โดยหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ลดลง 0.6% ขณะที่หุ้นซาโนฟี ร่วงลง 1.3%
หุ้นดับเบิลยูเอ็ม มอร์ริสัน ซูเปอร์มาร์เก็ต ร่วงลงเกือบ 4% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ต่ำกว่าคาดการณ์
นักลงทุนจับตาผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ ซึ่งจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐทั้งสภาจำนวน 435 คน ขณะที่เลือกสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 35 คนจากทั้งหมด 100 คน รวมทั้งเลือกผู้ว่าการรัฐ 36 รัฐจากทั้งหมด 50 รัฐ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าพรรคเดโมแครตจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ส่วนพรรครีพับลิกันครองเสียงส่วนใหญ่ในวุฒิสภา ซึ่งหากผลการเลือกตั้งออกมาตามคาด ก็จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น