ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (9 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้บดบังข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของอังกฤษ
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนลดลง 35.34 จุด หรือ 0.49% ปิดที่ 7,105.34 จุด
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลง โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลง 3.5% ส่วนหุ้นริโอ ทินโต ร่วงลง 3.3%
หุ้นกลุ่มพลังงานได้รับผลกระทบหลังตลาดน้ำมันสหรัฐเข้าสู่ "ภาวะหมี" โดยหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ลดลง 0.2% และหุ้นบีพี พีแอลซี ปรับตัวลง 1%
หุ้นกลุ่มธนาคารก็อ่อนตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นเอชเอสบีซี ลดลง 1.6% และหุ้นบาร์เคลย์ ลดลง 1.2%
ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยกดดันหลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.00-2.25% ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดี พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. มิ.ย. และก.ย. ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้ ส่วนในปีหน้า เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง และอีก 1 ครั้งในปี 2563
นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสมากกว่า 90% ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า โดยจากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 93% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้
ปัจจัยลบดังกล่าวได้บดบังข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของอังกฤษ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 0.6% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบรายไตรมาส โดยเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2559 หลังจากที่เติบโต 0.4% ในไตรมาส 2 และ 0.2% ในไตรมาส 1
นอกจากนี้ เศรษฐกิจของอังกฤษยังมีการขยายตัวมากกว่ายูโรโซน ซึ่งมีการเติบโตเพียง 0.2% ในช่วงเวลาดังกล่าว
เมื่อเทียบรายปี เศรษฐกิจอังกฤษมีการเติบโต 1.5% ในไตรมาส 3