ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อวันศุกร์ (9 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการทรุดตัวของราคาน้ำมันจะเป็นการบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ตลาดยังวิตกกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลง 201.92 จุด หรือ 0.77% ปิดที่ 25,989.30 จุด ดัชนี S&P 500 อ่อนตัวลง 25.82 จุด หรือ 0.92% ปิดที่ 2,781.01 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 123.98 จุด หรือ 1.65% ปิดที่ 7,406.90 จุด
หุ้นเจนเนอรัล อิเลคทริค ร่วงลง 5.7% หลังถูกเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้น
หุ้นเยลพ์ ดิ่งลง 26.6% หลังบริษัททำยอดขายได้ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์
หุ้นวอลต์ ดิสนีย์ เพิ่มขึ้น 1.7% หลังผลประกอบการไตรมาส 4 สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์
หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล บวก 1.2% หลังประกาศปรับโครงสร้างบริษัท
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.00-2.25% ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา นอกจากนี้ เฟดยังได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. มิ.ย. และก.ย. ซึ่งจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้ ส่วนในปีหน้า เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง และอีก 1 ครั้งในปี 2563
ในส่วนของข้อมูลเศรษฐกิจนั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 ปี หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของราคาอาหารและพลังงาน
ด้านผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 98.3 ในเดือนพ.ย. แต่ยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 98.0 หลังจากแตะระดับ 98.6 ในเดือนต.ค.
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากพุ่งขึ้นแตะ 101.4 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี