ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 พ.ย.) เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 7% อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด ขณะที่หุ้นโบอิ้งร่วงลงอย่างหนัก จากความกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเครื่องโบอิ้ง 737 ของสายการบินไลอ้อนแอร์เมื่อเดือนที่แล้ว โดยแรงกดดันเหล่านี้ได้สกัดปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของกลุ่มหุ้นเทคโนโลยี รวมทั้งสัญญาณบวกที่ว่าสหรัฐและจีนอาจจะสามารถแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าได้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,286.49 จุด ลดลง 100.69 จุด หรือ -0.40% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,722.18 จุด ลดลง 4.04 จุด หรือ -0.15% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,200.88 จุด เพิ่มขึ้น 0.01 จุด หรือ +0.00%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงอย่างหนัก หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทรุดตัวลงกว่า 7% เมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) คาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะน้ำมันล้นตลาดในปีหน้า พร้อมกับปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีหน้าเช่นกัน โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.3% และหุ้นเชฟรอน ลดลง 1.7% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 1.9% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ดิ่งลง 2.06% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 5.5%
หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 2.1% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า โบอิ้งไม่ได้ให้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับโปรแกรมควบคุมการบินแก่ทีมบริหารและนักบินของสายการบินไลอ้อนแอร์ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินของไลอ้อนแอร์ประสบอุบัติเหตุตกลงในทะเลเมื่อวันที่ 29 ต.ค. ส่งผลให้ผู้โดยสารและลูกเรือ 189 คนเสียชีวิตทั้งหมด
หุ้นไทสัน ฟู้ดส์ ดิ่งลง 5.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในตลาดวอลล์สตรีท
หุ้นอเมซอน ปรับตัวลง 0.4% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า บริษัทอเมซอนได้ตัดสินใจเลือกเมืองนิวยอร์ก ซิตี้ และนอร์เทิร์น เวอร์จิเนีย เป็นสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 และ 3 ตามลำดับ นอกเหนือจากสำนักงานใหญ่ที่ขณะนี้ตั้งอยู่ที่ซีแอตเติล หุ้นโฮม ดีโปท์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ปิดขยับลง 0.3% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 2.51 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 2.26 ดอลลาร์/หุ้น และรายได้อยู่ที่ระดับ 2.630 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 2.626 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นสตาร์บัคส์ ปรับตัวลง 0.7% หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า บริษัทสตาร์บัคส์เตรียมปลดพนักงานทั่วโลกจำนวน 5% โดยการปลดพนักงานครั้งนี้จะกระทบต่อพนักงานจำนวน 350 คนในฝ่ายการตลาด, ครีเอทีฟ, ผลิตภัณฑ์, เทคโนโลยี และฝ่ายพัฒนาสโตร์
หุ้นแอปเปิล ปิดร่วงลง 1% หลังจากโกลด์แมน แซคส์ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การผลิต iPhone ของแอปเปิลในปีหน้า โดยลดลง 6% จากที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ หลังจากที่บริษัทลูเมนตัม ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของแอปเปิล ได้ปรับลดแนวโน้มผลประกอบการ
อย่างไรก็ตาม หุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยี ดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้น 0.4% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ขยับขึ้น 0.11% หุ้น Nvidia เพิ่มขึ้น 5.1% หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้น 1.1% หุ้นอินเทล พุ่งขึ้น 1.6% ส่วนหุ้นลูเมนตัม ทะยานขึ้น 3.8%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน หลังจากที่นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลสหรัฐและจีนกำลังเจรจากันในทุกระดับ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินาในปลายเดือนนี้
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนต.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนพ.ย.จากเฟดนิวยอร์ก, ดัชนีการผลิตเดือนพ.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ย. และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค.