ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดพุ่ง 108.49 จุด รับแรงซื้อหุ้นสินค้าผู้บริโภค-สาธารณูปโภค

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 28, 2018 06:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นที่สามารถต้านทานวัฏจักรทางเศรษฐกิจ (defensive stocks) เช่นหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคและกลุ่มสาธารณูปโภค โดยแรงซื้อในหุ้นกลุ่มดังกล่าวช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 และยังสามารถสกัดปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,748.73 จุด เพิ่มขึ้น 108.49 จุด หรือ +0.44% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,082.70 จุด เพิ่มขึ้น 0.85 จุด หรือ +0.01% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,682.17 จุด เพิ่มขึ้น 8.72 จุด หรือ +0.33%

นักลงทุนเข้าซื้อหุ้น defensive ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มปลอดภัยและมีปัจจัยพื้นฐานดี เช่นหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคและกลุ่มสาธารณูปโภค โดยหุ้นในกลุ่มสินค้าผู้บริโภคนั้น หุ้นพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) ปรับตัวขึ้น 0.8% หุ้นเป๊ปซี่โค ดีดตัวขึ้น 0.5% หุ้นโคคา-โคลา เพิ่มขึ้น 1.02% หุ้นฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล ดีดขึ้น 1.4%

ส่วนหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งเป็นหุ้น defensive เช่นกันนั้น โดยหุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี เพิ่มขึ้น 1% หุ้นคอนโซลิเดทเต็ด เอดิสัน อิงค์ เพิ่มขึ้น 1.14% หุ้นเฟิร์สท์เอนเนอร์จี ซึ่งเป็นบริษัทสาธารณูปโภครายใหญ่ของสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 0.53% และหุ้นเอ็กเซลอน เพิ่มขึ้น 0.7%

หุ้นกลุ่มค้าปลีกพุ่งขึ้นหลังจากอะโดบี อนาลิติครายงานว่า ยอดขายทางออนไลน์ในวันไซเบอร์มันเดย์ปีนี้พุ่งขึ้น 19.3% จากปีที่ผ่านมา แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.9 พันล้านดอลลาร์ โดยหุ้นเมซีส์ อิงค์ พุ่งขึ้น 4.1% หุ้นทาร์เก็ต ทะยานขึ้น 3.08% หุ้นนอร์ดสตรอม เพิ่มขึ้น 1.3% หุ้นโคห์ล คอร์ป พุ่งขึ้น 3.7% หุ้นโลว์ส พุ่งขึ้น 2.6% หุ้นเบสท์ บาย เพิ่มขึ้น 0.5% และหุ้นอเมริกัน อีเกิล เอาท์ฟิทเทอร์ส เพิ่มขึ้น 0.5%

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเก็บภาษีสินค้าจีนในวงเงินเพิ่มอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันในวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ หากเขาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในการหารือนอกรอบการประชุม G20

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งมีความอ่อนไหวของประเด็นการค้าระหว่างประเทศนั้น ปรับตัวลดลง โดยหุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ร่วงลง 4.1% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ขยับลง 0.15% หุ้นยูเอส สตีล ดิ่งลง 8.5% และหุ้นเอเค สตีล โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 3.8%

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 5.5% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปีที่แล้ว และชะลอตัวลงจากระดับ 5.7% ของเดือนส.ค.

ทางด้าน Conference Board เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 135.7 ในเดือนพ.ย. จากระดับ 137.9 ในเดือนต.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 135.9

นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ เพื่อดูว่า ประธานเฟดจะแสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีนหรือไม่ รวมทั้งจับสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเฟดเดือนหน้า

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2561 (ประมาณการครั้งที่ 2), สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเบื้องต้นเดือนต.ค., ยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนต.ค., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค. และคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะเปิดเผยรายงานการประชุมวันที่ 7-8 พ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ