ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (4 ธ.ค.) ตามทิศทางตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวลดลงเพราะนักลงทุนไม่แน่ใจต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากที่มีข่าวว่า นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะเจรจาการค้าฝ่ายสหรัฐ โดยนายไลท์ไฮเซอร์นับเป็นผู้ที่มีจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อจีน
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,022.76 จุด ลดลง 39.65 จุด หรือ -0.56%
นักลงทุนยังไม่มั่นใจผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่เคยออกมาประกาศร่วมกันให้ชัดเจนว่าได้ตกลงกันอะไรไว้บ้างนอกรอบการประชุม G20 เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยรู้เพียงแค่ว่าปธน.ทรัมป์และปธน.สี จิ้นผิงเห็นพ้องให้เลื่อนกำหนดเวลาที่สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อการนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ออกไปอีก 90 วัน จากกำหนดเดิมในวันที่ 1 ม.ค.2562 เพื่อเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจายุติข้อพิพาทการค้าระหว่างกัน
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลดลง โดยหุ้นเกลนคอร์ ปรับตัวลดลง 1.36% หุ้นริโอ ทินโต ปรับตัวลดลง 1.1%
ส่วนหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ปรับตัวลดลง 0.63%
นอกจากนี้ นักลงทุนในตลาดหุ้นลอนดอนยังมีความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินปอนด์ เพราะดัชนี FTSE 100 มีบริษัทข้ามชาติเป็นจำนวนมาก และยอดขายของบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปสกุลเงินอื่น การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงจะทำให้บริษัทกลุ่มนี้มีรายได้ลดลงเมื่อนำกลับประเทศ
เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นหลังนายมานูเอล แคมโปส ซานเชส-บอร์โดนา ซึ่งเป็นที่ปรึกษาศาลยุติธรรมยุโรป (ECJ) กล่าวว่า อังกฤษควรได้รับอนุญาตให้สามารถดำเนินการแต่เพียงฝ่ายเดียวในการยกเลิกกระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
คำกล่าวของนายซานเชส-บอร์โดนามีขึ้น ขณะที่รัฐสภาอังกฤษกำลังดำเนินการอภิปรายเป็นเวลา 5 วันต่อข้อเสนอของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เกี่ยวกับข้อตกลง Brexit ที่นางเมย์ทำไว้กับ EU ก่อนที่รัฐสภาจะลงมติต่อข้อตกลง Brexit ในวันอังคารหน้า
นักการเมืองของสก็อตแลนด์เป็นผู้ยื่นเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของ ECJ โดยหวังว่าคำวินิจฉัยของ ECJ จะช่วยปูทางให้มีการจัดการลงประชามติเกี่ยวกับ Brexit อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ผู้ลงคะแนนมีทางเลือกในการตัดสินใจอยู่กับ EU ต่อไป