ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ โดยล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 400 จุด หลุดระดับ 24,000 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน
นักวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายประการ ซึ่งได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน, การที่ศาลจีนตัดสินให้บริษัทแอปเปิล อิงค์ แพ้คดีการละเมิดสิทธิบัตรของควอลคอม, การที่รัฐบาลอังกฤษประกาศเลื่อนการลงมติในรัฐสภาต่อร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) อย่างไม่มีกำหนด รวมทั้งความวิตกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากการปรับตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ณ เวลา 23.36 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 23,936.74 จุด ลดลง 425.21 จุด หรือ 1.74%
หุ้นกลุ่มการเงินและพลังงานดิ่งลงนำตลาดวันนี้
ราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ ร่วงลงต่อเนื่องในวันนี้ หลังจากที่ศาลของจีนมีคำตัดสินให้บริษัทควอลคอม อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพรายใหญ่สำหรับสมาร์ทโฟน ชนะคดีฟ้องร้องบริษัทแอปเปิล อิงค์ กรณีละเมิดสิทธิบัตรของควอลคอม
ควอลคอมระบุว่า ศาลมีคำสั่งห้ามการนำเข้า และจำหน่าย iPhone แทบทุกรุ่นในจีน
ทั้งนี้ ศาลเมืองฟูโจวของจีนมีคำสั่งให้บริษัทในเครือของแอปเปิล 4 แห่งในจีนห้ามการจำหน่าย iPhone โดยศาลระบุว่า แอปเปิลได้ละเมิดสิทธิบัตร 2 ฉบับของควอลคอมในการทำให้ผู้ใช้สามารถปรับขนาดภาพ และจัดการแอปพลิเคชั่นโดยการใช้ทัชสกรีน
อย่างไรก็ดี แอปเปิลระบุว่า คำสั่งศาลดังกล่าวมีผลบังคับใช้ต่อ iPhone ซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการแบบเก่า แต่ไม่รวมถึง iPhone ที่มีการจำหน่ายในตลาดขณะนี้ ซึ่งมีการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS 12 ที่ไม่ได้มีการละเมิดสิทธิบัตรของควอลคอม
ทางด้านซิตี้ กรุ๊ปประกาศปรับลดเป้าหมายราคาของแอปเปิล โดยคาดการณ์ว่า แอปเปิลจะได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ณ เวลา 23.51 น.ตามเวลาไทย ราคาหุ้นแอปเปิลปรับตัวลง 2.09% สู่ระดับ 164.97 ดอลลาร์
ขณะนี้ราคาหุ้นแอปเปิลอยู่ในระดับต่ำกว่าต้นปีนี้ และดิ่งลง 26% ในไตรมาสนี้
ทั้งนี้ ซิตี้ กรุ๊ปประกาศปรับลดเป้าหมายราคาแอปเปิล สู่ระดับ 200 ดอลลาร์ จากระดับ 240 ดอลลาร์ก่อนหน้านี้ โดยระบุว่า "การทำสงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี"
นอกจากนี้ ซิตี้ กรุ๊ปยังคาดการณ์ว่า ราคาหุ้นแอปเปิลจะดิ่งลงแตะระดับ 125 ดอลลาร์ หากรายได้ของแอปเปิลชะลอตัวสู่ระดับ 2-3% ต่อปี และตัวเลขกำไรเบื้องต้นอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้
สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ทรุดตัวเกือบ 2% หลุด 52 ดอลลาร์ในวันนี้ โดยไม่ได้รับผลบวกจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศพันธมิตร ซึ่งนำโดยรัสเซีย มีมติปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.2 ล้านบาร์เรล/วันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ณ เวลา 22.15 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนม.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX ลดลง 1.01 ดอลลาร์ หรือ 1.92% สู่ระดับ 51.60 ดอลลาร์/บาร์เรล
นายเอ็ดเวิร์ด เบลล์ นักวิเคราะห์จากธนาคารเอมิเรตส์ เอ็นบีดี กล่าวว่า ระดับการปรับลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ตลาดอยู่ในภาวะขาดแคลนน้ำมัน
นายเบลล์คาดการณ์ว่า ตลาดจะยังคงเผชิญภาวะน้ำมันล้นตลาดราว 1.2 ล้านบาร์เรล/วันในไตรมาสแรกของปีหน้า จากการที่มีปริมาณน้ำมันใหม่ๆระบายเข้าสู่ตลาด
ทั้งนี้ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สหรัฐมีการผลิตน้ำมัน 11.7 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดภาวะ inverted yield curve ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่สูงกว่าพันธบัตรระยะยาว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ปรับตัวอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 5 ปี
ผลการศึกษาของบริษัท Bespoke พบว่า การเกิดภาวะ inverted yield curve ในตลาดพันธบัตร จะเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะตามมา โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2533, 2544 และ 2550
Bespoke เปิดเผยว่า ในการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งแรกนั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 3 ปีปรับตัวสูงกว่าพันธบัตรอายุ 5 ปี และหลังจากนั้น 26.3 เดือน ก็เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2533
นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกแถลงการณ์ต่อสภาสามัญชนของอังกฤษในวันนี้ โดยระบุว่า รัฐบาลได้ตัดสินใจเลื่อนการลงมติในรัฐสภาต่อร่างข้อตกลง Brexit อย่างไม่มีกำหนด
ทั้งนี้ สภาสามัญชนของอังกฤษมีกำหนดลงมติในวันพรุ่งนี้ต่อร่างข้อตกลง Brexit ที่นางเมย์ทำไว้กับสหภาพยุโรป (EU) ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี นางเมย์ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่บ้านพักนายกรัฐมนตรีในวันนี้ เพื่อหารือการชะลอการลงมติดังกล่าวโดยไม่มีกำหนด เพื่อให้รัฐบาลมีเวลาในการชี้แจงทำความเข้าใจต่อสมาชิกสภาสามัญชนของอังกฤษจำนวนมากที่ยังคงมีท่าทีไม่เห็นด้วยต่อร่างข้อตกลงดังกล่าว
มีการคาดการณ์ในวงกว้างว่า ร่างข้อตกลง Brexit ของนางเมย์จะถูกคว่ำกลางสภา หากมีการลงมติในวันพรุ่งนี้
นางเมย์กล่าวว่า ถึงแม้ร่างข้อตกลงดังกล่าวได้รับเสียงสนับสนุนในวงกว้าง แต่กรณีของไอร์แลนด์เหนือยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความวิตก และนางเมย์จะทำการเจรจาครั้งใหม่ต่อข้อตกลง Brexit กับทาง EU
"ดิฉันจะทำการเจรจาฉุกเฉินกับผู้นำ EU โดยจะหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในข้อตกลง" นางเมย์กล่าว