ตลาดหุ้นลอนดอนปิดตลาดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.) ตามทิศทางตลาดหุ้นยุโรป เนื่องจากนักลงทุนได้กลับมามีความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง หลังจีนและยูโรโซนเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่ซบเซา นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ก็เป็นปัจจัยกดดันตลาดเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นลอนดอนยังพอได้รับปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ โดยการอ่อนค่าของเงินปอนด์เป็นปัจจัยบวกต่อดัชนี FTSE 100 ซึ่งมีบริษัทที่ทำธุรกิจในต่างแดนรวมอยู่ในดัชนีนี้เป็นจำนวนมาก เมื่อเงินปอนด์อ่อนค่าลงแล้วเท่ากับว่า บริษัทเหล่านี้จะมีกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อนำรายได้กลับเข้าประเทศ
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,845.17 จุด ลดลง 32.33 จุด หรือ -0.47%
สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดเกี่ยวกับ Brexit ผู้นำของสหภาพยุโรป (EU) ส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะไม่มีการเจรจาต่อรองครั้งใหม่ต่อข้อตกลง Brexit กับนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ขณะที่นางเมย์ได้ประกาศเลื่อนการลงมติในรัฐสภาต่อร่างข้อตกลง Brexit ออกไปโดยไม่มีกำหนด จากเดิมที่มีกำหนดลงมติในวันที่ 11 ธ.ค.
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลง หลังจีนได้เปิดเผยตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีกที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ท่ามกลางการทำสงครามการค้ากับสหรัฐ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังมีความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของยูโรโซน หลังไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซน ปรับตัวลงสู่ระดับ 51.3 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 49 เดือน จากระดับ 52.7 ในเดือนพ.ย.
การร่วงลงของดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลดลง เพราะจีนเป็นประเทศที่ซื้อทรัพยากรธรรมชาติมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยหุ้นเกลนคอร์ ปรับตัวลดลง 1.86% และหุ้นริโอ ทินโต ปรับตัวลดลง 1.58%