ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 500 จุดเมื่อคืนนี้ (17 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 14 เดือน เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะรู้ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธนี้ตามเวลาสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ที่ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หลังจากอัยการมาเลเซียสั่งฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อโกลด์แมน แซคส์ในข้อหาคอร์รัปชั่นและฟอกเงินในกองทุน 1MDB รวมทั้งการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพ หลังจากศาลสหรัฐระบุว่า กฎหมายประกันสุขภาพของรัฐบาลบารัค โอบามา หรือ "โอบามาแคร์" ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,592.98 จุด ร่วงลง 507.53 จุด หรือ -2.11% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,545.94 จุด ลดลง 54.01 จุด หรือ -2.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,753.73 จุด ลดลง 156.93 จุด หรือ -2.27%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดร่วงหลุดจากแนว 24,000 จุด ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐและจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยรายงานล่าสุดของสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านร่วงลง 4 จุด สู่ระดับ 56 ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2558 เพราะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ชะลอตัวลงก็ตาม
หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 2.8% และปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หลังจากอัยการมาเลเซียได้สั่งฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อธนาคารโกลด์แมน แซคส์ รวมทั้งอดีตพนักงาน 2 คน ตามกฎหมายหลักทรัพย์ของมาเลเซีย ในข้อหาคอร์รัปชั่น และฟอกเงินในกองทุน 1MDB โดยโกลด์แมน แซคส์กำลังถูกตรวจสอบกรณีการระดมทุน 6.5 พันล้านดอลลาร์ผ่านทางการออกพันธบัตร 3 ครั้งสำหรับกองทุน 1MDB ซึ่งกำลังถูกสอบสวนใน 6 ประเทศ
หุ้นกลุ่มหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล และบริษัทประกันสุขภาพของสหรัฐต่างทรุดตัวลงอย่างหนัก หลังจากผู้พิพากษารีด โอคอนเนอร์จากศาลแขวงสหรัฐ ระบุว่า โครงการโอบามาแคร์ หรือ Affordable Care Act (ACA) นั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีการบังคับให้ประชาชนซื้อการประกันสุขภาพ
ทั้งนี้ ราคาหุ้นเอชซีเอ เฮลธ์แคร์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงพยาบาลรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ดิ่งลง 2.8% ขณะที่หุ้นซิกนา คอร์ปอเรชัน และหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นสองบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 3.2% และดิ่งลง 2.6% ตามลำดับ ส่วนหุ้นเซนเทเน คอร์ป ดิ่งลง 4.8% และหุ้นโมลินา เฮลธ์แคร์ ทรุดตัวลง 8.9%
หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ร่วงลง 2.9% หลังสื่อรายงานว่า บริษัทได้รับรู้เป็นเวลานานหลายสิบปีว่า สารทัลคัมและผลิตภัณฑ์แป้งของบริษัทมีการปนเปื้อนแร่ใยหิน แต่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมกฎระเบียบ หรือต่อสาธารณชน
หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยหุ้นอเมซอน ร่วงลง 4.5% หุ้นเมซีส์ อิงค์ ร่วงลง 1.05% หุ้นทาร์เก็ต ดิ่งลง 4.2% หุ้นนอร์ดสตรอม ร่วงลง 1.9% หุ้นโคห์ล คอร์ป ลดลง 0.5% หุ้นโลว์ส ดิ่งลง 3.1% หุ้นเบสท์ บาย ร่วงลง 5.7% และหุ้นอเมริกัน อีเกิล เอาท์ฟิทเทอร์ส ดิ่งลง 2.1%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งหลุดจากระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.04% หุ้นเชฟรอน ลดลง 1.2% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 1.5% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ลดลง 1.3% และหุ้นมาราธอน ปิโตรเลียม ร่วงลง 1.7%
ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 2.7% หุ้นแอปเปิล ลดลง 0.9% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ดิ่งลง 2.5% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 1.5% หุ้นไมโครซอฟท์ ดิ่งลง 3%
นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะรู้ผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดซึ่งจะเริ่มเปิดฉากขึ้นในวันอังคารที่ 18 ธ.ค. และเสร็จสิ้นในวันพุธที่ 19 ธ.ค.ตามเวลาสหรัฐ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 สำหรับปีนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนพ.ย., ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 (ประมาณการครั้งสุดท้าย), รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนพ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน