ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งนำโดยหุ้นโบอิ้งที่พุ่งขึ้นกว่า 3% ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่ม FAANG (เฟซบุ๊ก แอปเปิล อเมซอน เน็ตฟลิกซ์ และอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล) อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลหลังจากที่ปรึกษาทำเนียบขาวได้ออกมาขู่ว่าจะปล่อยให้มีการปิดหน่วยงานบางส่วนของรัฐบาล หรือชัตดาวน์ หากสภาคองเกรสไม่ผ่านงบประมาณการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนเม็กซิโก นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะรู้ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,675.64 จุด เพิ่มขึ้น 82.66 จุด หรือ +0.35% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,546.16 จุด เพิ่มขึ้น 0.22 จุด หรือ +0.01% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,783.91 จุด เพิ่มขึ้น 30.18 จุด หรือ +0.45%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวกเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมฟื้นตัวขึ้น นำโดยหุ้นโบอิ้งซึ่งปิดตลาดพุ่งขึ้น 3.8% หลังจากบริษัทประกาศเพิ่มการจ่ายเงินปันผล และเพิ่มวงเงินการซื้อคืนหุ้นเป็น 2 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิม 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ดีดตัวขึ้น 0.4% หุ้นยูเอส สตีล พุ่งขึ้น 1.2% และหุ้นเอเค สตีล โฮลดิ้งส์ เพิ่มขึ้น 1.5% และหุ้น 3M เพิ่มขึ้น 0.9%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดเช่นกัน โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 1.3% หุ้นอเมซอนดอทคอม พุ่งขึ้น 2.01% หุ้นอัลฟาเบท เพิ่มขึ้น 1.7% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ พุ่งขึ้น 3.1% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 1.05% หุ้น Nvidia ทะยานขึ้น 2.3% หุ้นไมครอน เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้น 0.7% และหุ้นอินเทล พุ่งขึ้น 1.4%
หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวขึ้น 2.1% หลังจากที่ร่วงลงติดต่อกันหลายวันทำการก่อนหน้านี้ อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่า อัยการมาเลเซียได้สั่งฟ้องดำเนินคดีอาญาต่อโกลด์แมน แซคส์ในข้อหาคอร์รัปชั่น และฟอกเงินในกองทุน 1MDB
หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ดีดตัวขึ้น 1% หลังจากบริษัทดำเนินมาตรการสร้างความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์ของบริษัท หลังจากที่ราคาหุ้นของบริษัทดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง จากการที่สื่อเสนอข่าวว่า บริษัทได้รับรู้เป็นเวลานานหลายสิบปีว่า ผลิตภัณฑ์แป้งโรยตัวของบริษัท ซึ่งรวมถึงแป้งเด็กจอห์นสัน มีส่วนผสมของแร่ใยหิน
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 7% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.7% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 2.4% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ลดลง 1.5% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ดิ่งลง 4.3% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ปรับตัวลง 0.4%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากความกังวลที่ว่า หน่วยงานบางส่วนของรัฐบาลสหรัฐอาจถูกชัตดาวน์ หลังจากนายสตีเฟน มิลเลอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสประจำทำเนียบขาว เรียกร้องให้สภาคองเกรสผ่านร่างงบประมาณวงเงิน 5 พันล้านดอลลาร์สำหรับการก่อสร้างกำแพงกั้นพรมแดนเม็กซิโก มิฉะนั้นรัฐบาลอาจจำเป็นต้องปล่อยให้หน่วยงานบางส่วนถูกชัตดาวน์ เพื่อแลกกับความมั่นคงตามแนวชายแดน
นักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขาย ก่อนที่จะทราบผลการประชุมเฟดในวันพูธที่ 19 ธ.ค.ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25-2.50% หลังจากสิ้นสุดการประชุมในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้
ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ออกมากดดันเฟดอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ ปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความว่า "ผมหวังว่าเจ้าหน้าที่เฟดจะอ่านบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ก่อนที่พวกเขาจะทำผิดพลาดอีกครั้งหนึ่งและอย่าได้ทำให้ตลาดขาดสภาพคล่องมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ขอให้เข้าใจความรู้สึกของตลาด อย่าได้ดำเนินการตามตัวเลขที่ไม่มีความหมาย ขอให้โชคดี"
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้นสวนทางคาดการณ์ในเดือนพ.ย. โดยเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.256 ล้านยูนิต จากระดับ 1.217 ล้านยูนิตในเดือนต.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านจะลดลงสู่ระดับ 1.225 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 (ประมาณการครั้งสุดท้าย), รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนพ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน