ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (9 ม.ค.) หลังจากมีรายงานว่า การเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนมีความคืบหน้า โดยทั้งสองฝ่ายสามารถลดช่องว่างของความคิดเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นการค้า นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานการประชุมในเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งส่งสัญญาณว่า เฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,879.12 จุด เพิ่มขึ้น 91.67 จุด หรือ +0.39% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,957.08 จุด เพิ่มขึ้น 60.08 จุด หรือ +0.87% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,584.96 จุด เพิ่มขึ้น 10.55 จุด หรือ +0.41%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อวานนี้ได้ส่งสัญญาณในด้านบวก โดยล่าสุดสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ออกแถลงการณ์ระบุว่า ในการเจรจาการค้ากับจีนครั้งนี้ สหรัฐสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าที่เป็นธรรม และได้รับประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายกับจีน
USTR เปิดเผยว่า จีนได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะซื้อสินค้าจำนวนมากจากสหรัฐ โดยมีการหารือถึงคำมั่นสัญญาของจีนในการซื้อสินค้าจำนวนมากจากสหรัฐในด้านการเกษตร, พลังงาน รวมทั้งสินค้าในภาคการผลิตและบริการ
ส่วนในอนาคตอันใกล้ สหรัฐและจีนจะจัดการประชุมระดับรัฐมนตรี โดยนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ และนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะเข้าร่วมการประชุม
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำวันที่ 18-19 ธ.ค. 2561 ซึ่งระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่สามารถอดทนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
รายงานการประชุมยังระบุด้วยว่า "กรรมการหลายคนกล่าวว่า ก่อนที่เฟดจะปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งนั้น เฟดจำเป็นจะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา"
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขานรับผลบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยเฉพาะหุ้นบริษัทโบอิ้งและแคทเธอร์พิลลาร์ที่มีการลงทุนจำนวนมากในต่างประเทศ โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.4% หุ้นโบอิ้ง ดีดตัวขึ้นเกือบ 1% หุ้น 3M เพิ่มขึ้น 0.3% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยี เพิ่มขึ้น 0.4% และหุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นอีตัน คอร์ป พุ่งขึ้น 1.3%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์พุ่งขึ้นขานรับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเช่นกัน เนื่องจากบริษัทหลายแห่งในภาคส่วนนี้มีการลงทุนจำนวนมากในประเทศจีน โดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 1.7% หุ้นเฟซบุ๊ก ดีดตัวขึ้น 1.2% หุ้นอเมซอนดอทคอม เพิ่มขึ้น 0.2% หุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นอินเทล เพิ่มขึ้น 0.6% และหุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 2%
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 8 เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 0.5% หุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 1.3% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 1.2% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี เพิ่มขึ้น 1.1% หุ้นมาราธอน ปิโตรเลียม พุ่งขึ้น 2.1% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ทะยานขึ้น 12.8% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 2.7%
ทางการสหรัฐได้เลื่อนการเปิดเผยข้อมูลหลายรายการในสัปดาห์นี้ เนื่องจากผลกระทบของภาวะชัตดาวน์ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.
นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐถูกปิดทำการเนื่องจากขาดงบประมาณ หรือชัตดาวน์ ซึ่งล่วงเข้าสู่วันที่ 19 เนื่องจากทำเนียบขาวและแกนนำพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นการจัดสรรงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกวงเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์