ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (22 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และจากการที่จีนระบุว่า เศรษฐกิจภายในประเทศปี 2561 ขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบ 28 ปี
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดลบ 0.36% แตะที่ระดับ 355.09 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,090.11 จุด ลดลง 46.09 จุด หรือ -0.41% ขณะที่ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,901.39 จุด ลดลง 69.20 จุด หรือ -0.99% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,847.53 จุด ลดลง 20.24 จุด หรือ -0.42%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก หลังจาก IMF คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 3.5% ในปีนี้ และ 3.6% ในปีหน้า ซึ่งต่ำกว่าระดับ 3.7% สำหรับทั้ง 2 ปีที่มีการคาดการณ์ในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว
ทั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนที่ IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก พร้อมกับเตือนว่า เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงจากการที่อังกฤษอาจแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง และเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอีก
ทางด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า GDP ในไตรมาส 4/2561 ขยายตัวเพียง 6.4% ส่วน GDP ตลอดปี 2561 ขยายตัว 6.6% จากระดับของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ระดับต่ำสุดในรอบ 28 ปี อันเนื่องมาจากผลกระทบของการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง โดยหุ้นยูบีเอส กรุ๊ป ดิ่งลง 5% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4 ที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ส่วนหุ้นดอยซ์แบงก์ ร่วงลง 4%
หุ้นกลุ่มทรัพยากรปรับตัวลง โดยหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ร่วงลงเกือบ 2% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง ซึ่งรวมถึงปิโตรเลียมและแร่เหล็ก ขณะที่หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลงกว่า 1% หลังจากนักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์
หุ้นอีซีเจ็ท ซึ่งเป็นสายการบินโลว์คอสต์ ดีดตัวขึ้นกว่า 2% เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัท ขณะที่หุ้นสายการบินแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม พุ่งขึ้น 2%