ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (31 ม.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของรอยัล ดัทช์ เชลล์ ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ส่งสัญญาณว่าจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,968.85 จุด เพิ่มขึ้น 27.22 จุด หรือ +0.39%
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวขึ้นหลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา พร้อมระบุในแถลงการณ์ว่า เฟดจะใช้ความอดทนต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งต่อไป
หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ พุ่งขึ้น 3% หลังจากเปิดเผยกำไรในปี 2561 เพิ่มขึ้น 36% สู่ระดับ 2.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557 ส่วนหุ้นอันโตฟากัสตา ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองรายใหญ่ พุ่งขึ้นกว่า 2% ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเช่นกัน
หุ้นดิอาจิโอ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ พุ่งขึ้นเกือบ 4% หลังจากบริษัทประกาศแผนการซื้อคืนหุ้น
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยล่าสุด นายเจเรมี ฮันท์ รมว.ต่างประเทศอังกฤษ กล่าวยอมรับว่า อังกฤษอาจต้องชะลอกำหนดเวลาในการแยกตัวอย่างเป็นทางการออกจากสหภาพยุโรป จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 29 มี.ค.ปีนี้ ถ้าหากการเจรจาประเด็น Brexit ยังคงยืดเยื้อต่อไปจนถึงปลายเดือนดังกล่าว
ทั้งนี้ รัฐสภาลงคะแนนเสียงอย่างถล่มทลายคว่ำร่างข้อตกลง Brexit ที่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรี ทำไว้กับผู้นำสหภาพยุโรป (EU) ก่อนหน้านี้ และหลังจากนี้ นางเมย์จะมีเวลาจนถึงวันที่ 26 ก.พ.ที่จะต้องนำร่างข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา มิฉะนั้นรัฐสภาจะทำการลงมติว่าจะเรียกร้องให้ EU ชะลอกำหนดเวลาในการที่อังกฤษจะแยกตัวจาก EU จากกำหนดเดิมวันที่ 29 มี.ค.หรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญกับภาวะการแยกตัวออกจาก EU โดยไม่มีการบรรลุข้อตกลงในวันดังกล่าว