ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้นในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวขึ้นในคืนนี้ ขานรับตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ
ณ เวลา 21.00 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 58 จุด หรือ 0.23% สู่ระดับ 25,034 จุด หลังจากขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย ก่อนการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนม.ค. โดยเพิ่มขึ้น 304,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 170,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานดีดตัวสู่ระดับ 4.0% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะทรงตัวที่ระดับ 3.9%
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 3 เซนต์ หรือ 0.1% ในเดือนม.ค. โดยต่ำกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนธ.ค.
เมื่อเทียบรายปี ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงานทรงตัวที่ระดับ 3.2% ในเดือนม.ค.
ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ
กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนพ.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 196,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 176,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับลดตัวเลขจ้างงานในเดือนธ.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 222,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 312,000 ตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าในเดือนม.ค. ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 296,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 8,000 ตำแหน่ง
ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 63.2%
เมื่อพิจารณาทั้งปี 2561 สหรัฐมีการจ้างงานนอกภาคเกษตรรวม 2.6 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2558 และสูงกว่าระดับ 2.2 ล้านตำแหน่งในปี 2560 ขณะที่มีการจ้างงานเฉลี่ยรายเดือนที่ระดับ 223,000 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยทางการจีนได้เผยแพร่แถลงการณ์ หลังเสร็จสิ้นการเจรจาการค้าระหว่างคณะผู้แทนจีนและสหรัฐว่า "การเจรจาการค้ารอบล่าสุดระหว่างจีนและสหรัฐ มีความคืบหน้าในประเด็นสำคัญ โดยทั้งสองฝ่ายได้เจรจากันอย่างตรงไปตรงมา เฉพาะเจาะจง และมีผลลัพธ์ที่ดี"
แถลงการณ์ระบุว่า จีนตกลงจะนำเข้าผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร, พลังงาน รวมทั้งบริการและสินค้าอุตสาหกรรมจากสหรัฐเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในด้านทรัพย์สินทางปัญญาและการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยืนยันว่า ตนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะพบปะกันในเดือนนี้เพื่อให้มีการบรรลุข้อตกลงทางการค้า
แหล่งข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนกำลังหารือกันเกี่ยวกับการจัดการประชุมระหว่างปธน.ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิง ซึ่งอาจมีขึ้นในปลายเดือนนี้
การประชุมดังกล่าวระหว่างผู้นำสหรัฐและผู้นำจีนจะมีขึ้น หลังจากการประชุมสุดยอดระหว่างปธน.ทรัมป์และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งจะมีขึ้นในเดือนนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ การประชุมระหว่างปธน.ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิงในเดือนนี้ ถือว่ามีความสำคัญต่อการเจรจาแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เนื่องจากหากทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าก่อนวันที่ 1 มี.ค. ปธน.ทรัมป์ก็จะเดินหน้าเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิม 10% ในขณะนี้