ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (1 ก.พ.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และความหวังในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ปรับตัวลดลงหลังหุ้นอเมซอนปรับตัวลดลงอย่างหนัก เมื่อทางบริษัทเตือนว่าอาจจะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในปีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,063.89 จุด เพิ่มขึ้น 64.22 จุด หรือ +0.26% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,706.53 จุด เพิ่มขึ้น 2.43 จุด หรือ +0.09% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,263.87 จุด ลดลง 17.87 จุด หรือ -0.25%
การซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยหนุน หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนม.ค. โดยเพิ่มขึ้น 304,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 170,000 ตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐยังได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขการจ้างงานในเดือนพ.ย. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 196,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 176,000 ตำแหน่ง และทบทวนปรับลดตัวเลขจ้างงานในเดือนธ.ค. โดยปรับเป็นเพิ่มขึ้น 222,000 ตำแหน่ง จากเดิมที่รายงานว่าเพิ่มขึ้น 312,000 ตำแหน่ง
กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่าในเดือนม.ค. ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 296,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 8,000 ตำแหน่ง
เมื่อพิจารณาทั้งปี 2561 สหรัฐมีการจ้างงานนอกภาคเกษตรรวม 2.6 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2558 และสูงกว่าระดับ 2.2 ล้านตำแหน่งในปี 2560 ขณะที่มีการจ้างงานเฉลี่ยรายเดือนที่ระดับ 223,000 ตำแหน่ง
อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลดลงตามหุ้นอเมซอนที่ปรับตัวลดลงถึง 5.38% แม้รายงานผลประกอบการไตรมาสสี่ดีเกินคาด เนื่องจากทางบริษัทได้ออกมาเตือนว่า บริษัทอาจมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในปีนี้
ขณะเดียวกัน หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค บริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.67% หลังรายงานผลประกอบการไตรมาสสี่ดีเกินคาดการณ์ ส่วนหุ้นฮันนี่เวลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.64% ขานรับผลประกอบการดีเกินคาดเช่นกัน
นักลงทุนยังจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยทางการจีนได้เผยแพร่แถลงการณ์ หลังเสร็จสิ้นการเจรจาการค้าระหว่างคณะผู้แทนจีนและสหรัฐว่า "การเจรจาการค้ารอบล่าสุดระหว่างจีนและสหรัฐ มีความคืบหน้าในประเด็นสำคัญ โดยทั้งสองฝ่ายได้เจรจากันอย่างตรงไปตรงมา เฉพาะเจาะจง และมีผลลัพธ์ที่ดี"
แถลงการณ์ระบุว่า จีนตกลงจะนำเข้าผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร, พลังงาน รวมทั้งบริการและสินค้าอุตสาหกรรมจากสหรัฐเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในด้านทรัพย์สินทางปัญญาและการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะพบปะกันในเดือนนี้เพื่อให้มีการบรรลุข้อตกลงทางการค้า
ทั้งนี้ การประชุมระหว่างปธน.ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิงในเดือนนี้ ถือว่ามีความสำคัญต่อการเจรจาแก้ไขความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน เนื่องจากหากทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าก่อนวันที่ 1 มี.ค. ปธน.ทรัมป์ก็จะเดินหน้าเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิม 10% ในขณะนี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการเปิดเผยภาคการผลิตที่สดใสของสหรัฐ
ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.9 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน จากระดับ 53.8 ในเดือนธ.ค.
การปรับตัวขึ้นของดัชนี PMI ได้รับปัจจัยหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน
ดัชนี PMI ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตยังคงมีการขยายตัว