ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (5 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากการที่บริษัทบีพีประกาศผลกำไรสูงเกินคาด และจากการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทะยานขึ้นในตลาดวอลล์สตรีทเมื่อวันจันทร์ ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองและกลุ่มธนาคารช่วยหนุนตลาดขึ้นด้วย
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,177.37 จุด เพิ่มขึ้น 143.24 จุด หรือ +2.04%
หุ้นบีพีปิดพุ่งขึ้น 5.17% หลังบีพี ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของอังกฤษ เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า กำไรสุทธิในปีงบการเงิน 2561 อยูที่ระดับ 1.27 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.188 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในทุกภาคส่วนของธุรกิจ
ส่วนกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2561 ของบีพี อยู่ที่ระดับ 3.48 พันล้านดอลลาร์ พุ่งขึ้นกว่า 65% จากระดับ 2.11 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2560 หลังจากการผลิตน้ำมันและก๊าซพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และจากการที่บีพีได้เข้าซื้อสินทรัพย์เกี่ยวกับน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) จากบริษัทบีเอชพี บิลลิตัน
หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ บวก 1.95% และหุ้นทูลโลว์ ออยล์ พุ่ง 2.27%
หุ้นกลุ่มเหมืองและกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นแอนโทฟากัสต้า บวกกว่า 1% หุ้นบีเอชพี กรุ๊ป บวก 1.17% และหุ้นริโอ ทินโตบวก 1% ขณะที่หุ้นธนาคารเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ บวก 1.6%
เงินปอนด์อ่อนค่าลงหลังข้อมูลบ่งชี้ว่าภาคบริการของอังกฤษร่วงลง โดยนักวิเคราะห์ของไอจีระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางอังกฤษมีความระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจของอังกฤษ
เงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงอาจเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มส่งออกรายใหญ่ซึ่งมีรายได้เป็นสกุลเงินอื่นๆ
ไอเอชเอส มาร์กิต/ซีไอพีเอส เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหราชอาณาจักร ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.1 ในเดือนม.ค. จากระดับ 51.2 ในเดือนธ.ค. โดยดัชนีเดือนม.ค.แตะระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2559
ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนม.ค. อยู่เหนือระดับ 50 เพียง 0.1 จุด ซึ่งหมายความว่า ภาคบริการของสหราชอาณาจักรแทบไม่ขยายตัวในเดือนที่ผ่านมา โดยได้รับผลกระทบจากการที่บริษัทต่างๆ ในภาคบริการลดการจ้างงานเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี และคำสั่งซื้อใหม่ที่ปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 2 ปีครึ่ง
นอกจากนี้ ดัชนี PMI ภาคบริการของอังกฤษในเดือนม.ค. ยังต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 51
คริส วิลเลียมสัน จากไอเอชเอส มาร์กิต กล่าวว่า ข้อมูลที่ออกมาล่าสุดบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะงักงัน หรืออาจเลวร้ายกว่านั้นคือ ประสบกับภาวะหดตัว โดยมีสาเหตุมาจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการถอนตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก