ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงเกือบ 200 จุดในวันนี้ จากความกังวลเกี่ยวกับการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายรายในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้
ณ เวลา 22.05 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,217.93 จุด ลดลง 172.37 จุด หรือ 0.68%
บริษัทจดทะเบียนรายงานผลประกอบการที่สดใสในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว โดยมีกำไรเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 14.1% เมื่อเทียบรายปี
อย่างไรก็ดี บริษัทเหล่านี้คาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการที่ซบเซาในปีนี้ ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะลดลงมากกว่า 1% ในไตรมาสแรก ซึ่งจะเป็นการปรับตัวลงของผลกำไรรายไตรมาสเทียบรายปีเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี
คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของยูโรโซนในปีนี้ และปีหน้า จากการคาดการณ์ที่ว่าประเทศขนาดใหญ่ในยูโรโซนจะมีเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ และหนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ EC คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะมีการขยายตัว 1.3% ในปีนี้ ลดลงจากระดับ 1.9% ในปีที่แล้ว และคาดว่าจะดีดตัวสู่ระดับ 1.6% ในปีหน้า
ก่อนหน้านี้ EC คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะมีการขยายตัว 1.9% ในปีนี้ และ 1.7% ในปีหน้า
นอกจากนี้ EC ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของ EU ซึ่งไม่รวมสหราชอาณาจักร จะมีการขยายตัว 1.5% ในปีนี้ ลดลงจากระดับ 2.1% ในปีที่แล้ว และคาดว่าจะดีดตัวสู่ระดับ 1.8% ในปีหน้า
EC คาดว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีจะมีการขยายตัว 1.1% ในปีนี้ ลดลงจากระดับ 1.5% ในปีที่แล้ว
EC ยังคาดว่าเศรษฐกิจของฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และเนเธอร์แลนด์จะชะลอตัวลงเช่นกัน โดยอิตาลีชะลอตัวมากที่สุดสู่ระดับ 0.2% ในปีนี้
ทางด้านธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจอังกฤษในปีนี้ สู่ระดับ 1.2% จากเดิมที่ระดับ 1.7% โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวต่อไปในปีนี้ สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัย Brexit และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
"การขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ชะลอลงในช่วงปลายปีที่แล้ว และได้อ่อนตัวต่อไปในช่วงต้นปีนี้" BoE ระบุ
ขณะเดียวกัน BoE ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจอังกฤษในปีหน้า สู่ระดับ 1.5% จากเดิมที่ระดับ 1.7% ก่อนที่จะดีดตัวสู่ระดับ 1.9% ในปี 2564
ราคาหุ้นของธนาคาร BB&T และธนาคารซันทรัสต์ แบงก์พุ่งขึ้นสวนทางตลาด หลัง BB&T แถลงว่า ทางธนาคารจะเข้าซื้อกิจการธนาคารซันทรัสต์ แบงก์ด้วยวงเงิน 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้เกิดธนาคารใหญ่อันดับ 6 ของสหรัฐ และถือเป็นการทำข้อตกลงซื้อกิจการธนาคารด้วยวงเงินสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี 2550-2552
ผู้ถือหุ้นซันทรัสต์จะได้รับหุ้น BB&T จำนวน 1.295 หุ้นสำหรับหุ้นซันทรัสต์ทุกๆ 1 หุ้น ส่งผลให้หุ้นซันทรัสต์มีมูลค่า 62.85 ดอลลาร์ โดยสูงกว่าราว 7% เมื่อเทียบกับราคาปิดตลาดวานนี้
ธนาคารที่เกิดจากการควบกิจการดังกล่าวจะใช้ชื่อใหม่ และมีสินทรัพย์รวม 4.42 แสนล้านดอลลาร์ รวมทั้งมีสินเชื่อ 3.01 แสนล้านดอลลาร์ และมีเงินฝาก 3.24 แสนล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้น BB&T จะถือหุ้น 57% ในธนาคารแห่งใหม่ ขณะที่ผู้ถือหุ้นซันทรัสต์จะถือหุ้น 43%