ดาวโจนส์ไหลไม่หยุด ล่าสุดทรุดกว่า 300 จุด กังวลเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนไม่คืบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 8, 2019 00:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทรุดตัวลงกว่า 300 จุด จากความกังวลเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการกล่าวสุนทรพจน์ของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายรายในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้

ณ เวลา 23.54 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,050.27 จุด ลดลง 340.03 จุด หรือ 1.34%

แหล่งข่าวจากรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่า การประชุมระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีแนวโน้มอย่างมากที่จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันเส้นตายวันที่ 1 มี.ค. ที่ทั้งสองฝ่ายกำหนดไว้สำหรับการบรรลุข้อตกลงทางการค้า

ทั้งนี้ หากทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าก่อนวันดังกล่าว ปธน.ทรัมป์ก็จะเดินหน้าเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิม 10% ในขณะนี้

เจ้าหน้าที่ระบุว่า ถึงแม้ว่าผู้นำสหรัฐและจีนจะมีโอกาสพบกัน แต่ขณะนี้มีงานที่ต้องทำอย่างมาก ขณะที่เหลือเวลาน้อยเกินไปในการทำข้อตกลงกับจีน นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังต้องเตรียมการประชุมสุดยอดกับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ในช่วงปลายเดือนนี้

นายแลร์รี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า เขาคาดว่าผู้นำทั้งสองจะพบปะกัน แต่กำหนดเวลา และสถานที่จัดการประชุมยังคงไม่มีความแน่นอน

นายคุดโลว์ยังกล่าวว่า สหรัฐหวังที่จะมีการทำข้อตกลงการค้ากับจีน แต่ยังคงมีงานต้องทำอีกมากก่อนที่จะสามารถบรรลุข้อตกลง

"ท่านประธานาธิบดีแสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงการค้า แต่เรายังคงมีระยะทางอีกไกลที่ต้องเดินไป" นายคุดโลว์กล่าว

"เราได้เจรจากันในทุกประเด็น และมีการหารือกันในรายละเอียด ผมคิดว่าเรายังคงต้องเจรจากันต่อไป" เขากล่าว

คำกล่าวของนายคุดโลว์สวนทางกับการแสดงความเห็นของนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ซึ่งกล่าวว่า การเจรจาการค้ากับจีนให้ผลลัพธ์ที่ดี

อย่างไรก็ดี นายมนูชินกล่าวเสริมว่า ยังคงมีอีกหลากหลายประเด็นที่จะเจรจากันต่อไป

บริษัทจดทะเบียนรายงานผลประกอบการที่สดใสในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว โดยมีกำไรเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 14.1% เมื่อเทียบรายปี

อย่างไรก็ดี บริษัทเหล่านี้คาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการที่ซบเซาในปีนี้ ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะลดลงมากกว่า 1% ในไตรมาสแรก ซึ่งจะเป็นการปรับตัวลงของผลกำไรรายไตรมาสเทียบรายปีเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี

คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของยูโรโซนในปีนี้ และปีหน้า จากการคาดการณ์ที่ว่าประเทศขนาดใหญ่ในยูโรโซนจะมีเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ และหนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ EC คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะมีการขยายตัว 1.3% ในปีนี้ ลดลงจากระดับ 1.9% ในปีที่แล้ว และคาดว่าจะดีดตัวสู่ระดับ 1.6% ในปีหน้า

ก่อนหน้านี้ EC คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะมีการขยายตัว 1.9% ในปีนี้ และ 1.7% ในปีหน้า

นอกจากนี้ EC ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของ EU ซึ่งไม่รวมสหราชอาณาจักร จะมีการขยายตัว 1.5% ในปีนี้ ลดลงจากระดับ 2.1% ในปีที่แล้ว และคาดว่าจะดีดตัวสู่ระดับ 1.8% ในปีหน้า

EC คาดว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีจะมีการขยายตัว 1.1% ในปีนี้ ลดลงจากระดับ 1.5% ในปีที่แล้ว

EC ยังคาดว่าเศรษฐกิจของฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และเนเธอร์แลนด์จะชะลอตัวลงเช่นกัน โดยอิตาลีชะลอตัวมากที่สุดสู่ระดับ 0.2% ในปีนี้

ทางด้านธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจอังกฤษในปีนี้ สู่ระดับ 1.2% จากเดิมที่ระดับ 1.7% โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวต่อไปในปีนี้ สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัย Brexit และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

"การขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ชะลอลงในช่วงปลายปีที่แล้ว และได้อ่อนตัวต่อไปในช่วงต้นปีนี้" BoE ระบุ

ขณะเดียวกัน BoE ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจอังกฤษในปีหน้า สู่ระดับ 1.5% จากเดิมที่ระดับ 1.7% ก่อนที่จะดีดตัวสู่ระดับ 1.9% ในปี 2564

ราคาหุ้นของธนาคาร BB&T และธนาคารซันทรัสต์ แบงก์พุ่งขึ้นสวนทางตลาด หลัง BB&T แถลงว่า ทางธนาคารจะเข้าซื้อกิจการธนาคารซันทรัสต์ แบงก์ด้วยวงเงิน 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้เกิดธนาคารใหญ่อันดับ 6 ของสหรัฐ และถือเป็นการทำข้อตกลงซื้อกิจการธนาคารด้วยวงเงินสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในปี 2550-2552

ผู้ถือหุ้นซันทรัสต์จะได้รับหุ้น BB&T จำนวน 1.295 หุ้นสำหรับหุ้นซันทรัสต์ทุกๆ 1 หุ้น ส่งผลให้หุ้นซันทรัสต์มีมูลค่า 62.85 ดอลลาร์ โดยสูงกว่าราว 7% เมื่อเทียบกับราคาปิดตลาดวานนี้

ธนาคารที่เกิดจากการควบกิจการดังกล่าวจะใช้ชื่อใหม่ และมีสินทรัพย์รวม 4.42 แสนล้านดอลลาร์ รวมทั้งมีสินเชื่อ 3.01 แสนล้านดอลลาร์ และมีเงินฝาก 3.24 แสนล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้น BB&T จะถือหุ้น 57% ในธนาคารแห่งใหม่ ขณะที่ผู้ถือหุ้นซันทรัสต์จะถือหุ้น 43%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ