ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (11 ก.พ.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอาจถูกชัตดาวน์อีกครั้ง หลังจากพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตคว้าน้ำเหลวในการเจรจาประเด็นความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งในสัปดาห์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,053.11 จุด ลดลง 53.22 จุด หรือ -0.21% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,709.80 จุด เพิ่มขึ้น 1.92 จุด หรือ +0.07% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,307.90 จุด เพิ่มขึ้น 9.71 จุด หรือ +0.13%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะชัดดาวน์ เนื่องจากขณะนี้ใกล้เส้นตายวันที่ 15 ก.พ.ซึ่งเป็นวันที่งบประมาณชั่วคราวสำหรับหน่วยงานรัฐบาลจะหมดอายุลง ขณะที่การเจรจาระหว่างสมาชิกพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตเกี่ยวกับงบประมาณความมั่นคงตามแนวชายแดนได้ประสบความล้มเหลวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถเห็นพ้องกันเกี่ยวกับประเด็นนโยบายกักกันผู้อพยพ ทั้งนี้ หากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันไม่สามารถบรรลุข้อตกลงภายในวันที่ 15 ก.พ. ปธน.ทรัมป์ก็อาจจะปล่อยให้เกิดภาวะชัตดาวน์อีกครั้งหนึ่ง หรือเขาอาจยอมลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณ พร้อมกับใช้อำนาจประธานาธิบดีประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ และออกกฎหมายอนุมัติงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโก โดยไม่ต้องผ่านการรับรองจากสภาคองเกรส
นอกจากนี้ นักลงทุนยังระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่การเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าของสหรัฐ (USTR) และสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ จะมีขึ้นที่กรุงปักกิ่งในวันที่ 14-15 ก.พ.นี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบรายหนึ่งเปิดเผยว่า อาจมีการเลื่อนกำหนดเส้นตายสำหรับการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 มี.ค.
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งมีความอ่อนไหวต่อประเด็นการค้าระหว่างประเทศนั้น ปรับตัวผันผวนเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นโบอิ้ง ปรับตัวลง 0.24% ขณะที่หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ขยับขึ้น 0.26% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้น 0.2% หุ้นอีตัน คอร์ป ลดลง 0.26% หุ้น 3M เพิ่มขึ้น 0.5% และหุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก เพิ่มขึ้น 2.2%
หุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพร่วงลง นำโดยหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป หุ้นไฟเซอร์ และหุ้นเมิร์ก แอนด์ โค ซึ่งต่างก็ร่วงลงกว่า 1%
หุ้นแอปเปิลปิดตลาดลดลง 0.6% หลังจากบริษัทวิจัย IDC ระบุว่า ยอดการจัดส่ง iPhone ในประเทศจีน ลดลง 19.9% ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 ตอกย้ำสถานะการแข่งขันของแอปเปิลที่อ่อนแรงลงต่อเนื่องในประเทศจีน เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่ในท้องถิ่น อย่างบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่
หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 1.5% หลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ประกาศเข้าซื้อกิจการบริษัทโซเลียม แคปิตอลของแคนาดา ในวงเงิน 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 2.3% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์แคนนาคอร์ด เจนูตี้ ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเทสลาขึ้นสู่ระดับ "buy" จากระดับ "hold" โดยระบุว่า การที่เทสลาปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้าเมื่อไม่นานมานี้ จะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายยอดขายรถยนต์รุ่น Model 3
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือนม.ค.จากสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB), ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนธ.ค., อัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนม.ค., ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ย., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนม.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนก.พ.จากเฟดนิวยอร์ก, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน