ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ (13 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเชื่อมั่นว่าสหรัฐและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าร่วมกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้ออกมาส่งสัญญาณว่าการเจรจาของทั้งสองฝ่ายเป็นไปด้วยดี นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไปในระยะนี้ หลังจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐทรงตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,543.27 จุด เพิ่มขึ้น 117.51 จุด หรือ +0.46% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,753.03 จุด เพิ่มขึ้น 8.30 จุด หรือ +0.30% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,420.38 จุด เพิ่มขึ้น 5.76 จุด หรือ +0.08%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งในสัปดาห์นี้ โดยนายโรเบิร์ต ไลท์ไทเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ จะเข้าร่วมเจรจากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ซึ่งรวมถึงนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ในวันที่ 14-15 ก.พ.นี้
ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายมนูชิน ต่างก็ส่งสัญญาณในด้านบวกว่า การเจรจาการค้ากับจีนเป็นไปด้วยดี ขณะเดียวกันนักลงทุนยังขานรับรายงานที่ว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีกำหนดพบปะกับคณะเจรจาการค้าของสหรัฐในวันศุกร์นี้ และจีนจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงอาหารให้แก่คณะผู้แทนสหรัฐที่ภัตตาคารจีนในกรุงปักกิ่ง ซึ่งคาดว่านายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงดังกล่าว
นักวิเคราะห์มองว่า การที่ปธน.สี จิ้นผิง เตรียมให้การต้อนรับคณะผู้แทนการค้าสหรัฐ และการที่จีนมีกำหนดจัดงานเลี้ยงดังกล่าว ถือเป็นสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีของทั้งจีนและสหรัฐในความพยายามที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าของทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไปในระยะนี้ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทรงตัวเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1%
หุ้นกลุ่มพลังงานยังคงได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.13% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 0.7% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 0.15% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 3.66% หุ้นมาราธอน ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 2.8% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 3.3% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน เพิ่มขึ้น 1.8%
หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (GE) ทะยานขึ้น 3.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อกังหันสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปี 2561
หุ้นฮิลตัน เวิลด์ไวด์ โฮลดิงส์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงแรมรายใหญ่ พุ่งขึ้น 6.8% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ที่สูงเกินคาดในไตรมาส 4/2561 พร้อมประกาศเพิ่มตัวเลขคาดการณ์รายได้ในปี 2562
ส่วนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคปรับตัวลง โดยหุ้นพีจีแอนด์อี กรุ๊ป ร่วงลง 1.4% หุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี ลดลง 0.7% หุ้นคอนโซลิเดทเต็ด เอดิสัน อิงค์ ลดลง 0.9% ส่วนหุ้นเอ็กเซลอน และหุ้นเฟิร์สท์เอนเนอร์จี ปรับตัวลงราว 0.1%
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจากตัวแทนการเจรจาจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันสามารถบรรลุข้อตกลงชั่วคราวในการหลีกเลี่ยงภาวะชัตดาวน์ ก่อนถึงเส้นตายวันที่ 15 ก.พ. อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้ทำให้ประธานธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พึงพอใจ เนื่องจากข้อตกลงครั้งนี้เป็นเพียงการเห็นพ้องกันในการสร้างรั้วกั้นพื้นที่แนวชายแดน วงเงิน 1.4 พันล้านดอลลาร์ แต่ไม่ใช่กำแพงคอนกรีตวงเงิน 5.7 พันล้านดอลลาร์ตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนม.ค., ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ย., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนม.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนก.พ.จากเฟดนิวยอร์ก, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน