ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 ก.พ.) จากการที่นักลงทุนผิดหวังต่อตัวเลขยอดค้าปลีกของสหรัฐที่ทรุดหนักสุดในรอบกว่า 9 ปี ขณะที่นักลงทุนยังจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และสถานการณ์ปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ (ชัตดาวน์) ในสัปดาห์นี้
ดัชนี Stoxx Europe ลดลง 0.32% ปิดที่ 363.80 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,089.79 จุด ลดลง 77.41 จุดหรือ -0.69% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,062.52 จุด ลดลง 11.74 จุดหรือ -0.23% ขณะที่ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,197.01 จุด เพิ่มขึ้น 6.17 จุดหรือ +0.09%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกดิ่งลง 1.2% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2552 ซึ่งขณะนั้นเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวจากภาวะถดถอย
นักวิเคราะห์คาดว่า ยอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย.
นักลงทุนจับตาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีกำหนดพบปะกับคณะเจรจาการค้าของสหรัฐในวันนี้ ขณะที่จีนจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงให้แก่คณะผู้แทนสหรัฐที่ภัตตาคารจีนในกรุงปักกิ่ง ซึ่งคาดว่านายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงดังกล่าว
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่ปธน.สี จิ้นผิงเตรียมพบกับคณะผู้แทนการค้าสหรัฐ เป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าในบางส่วนแล้ว
สื่อรายงานว่า ปธน.ทรัมป์อาจเลื่อนกำหนดเส้นตายในการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนออกไปอีก 60 วัน จากเดิมในวันที่ 1 มี.ค หากมีสัญญาณว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้า
ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์กำหนดเส้นตายสำหรับการบรรลุข้อตกลงทางการค้าในวันที่ 1 มี.ค. ซึ่งหากทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงก่อนวันดังกล่าว ปธน.ทรัมป์ก็จะเดินหน้าเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิม 10% ในขณะนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการปิดหน่วยงานรัฐบาล (ชัตดาวน์) ของสหรัฐ โดยสื่อรายงานว่า ปธน.ทรัมป์อาจลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ซึ่งรวมงบในการสร้างรั้วกั้นแนวชายแดนที่ติดกับเม็กซิโก เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะชัตดาวน์รอบที่สอง
ส่วนปัจจัยทางฝั่งยุโรปนั้น นักลงทุนจับตาสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษอภิปรายและลงมติเกี่ยวกับกระบวนการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ขณะที่นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ยังคงพยายามที่จะผลักดันข้อตกลงผ่านรัฐสภาก่อนถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 29 มี.ค.
หุ้นคอนวาเทค ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ของอังกฤษ ร่วงลง 18.92% หลังจากบริษํทเปิดเผยผลกำไรลดลง 6% ในปี 2561 โดยระบุว่าความเสี่ยงของการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลงนั้น ทำให้บริษัทต้องกักตุนสต็อกเพื่อรับมือกับภาวะขาดแคลนสินค้าที่อาจจะเกิดขึ้น
แต่หุ้นไมโคร โฟกัส ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของอังกฤษ พุ่งขึ้น 13.35% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ลดลงน้อยกว่าคาด
หุ้น Gerresheimer ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์การแพทย์ของเยอรมนี ปรับตัวขึ้น 9.57% หลังบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4/2561 และระบุว่า ธุรกิจของบริษัทกลับมามีการขยายตัว