ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความหวังในการทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีน แม้ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของเยอรมนี และข้อมูลยอดค้าปลีกที่น่าผิดหวังของสหรัฐ กดดันตลาดก็ตาม ขณะที่หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ปรับตัวขึ้นนำตลาดหลังบริษัทเอสทราเซเนการายงานผลประกอบการสดใส
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,197.01 จุด เพิ่มขึ้น 6.17 จุดหรือ +0.09%
นักลงทุนยังคงติดตามการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอย่างใกล้ชิด โดยนายโรเบิร์ต ไลท์ไทเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้เข้าร่วมเจรจานายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่กรุงปักกิ่งเมื่อวานนี้และจะมีการสรุปผลการเจรจาในวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีกำหนดพบปะกับคณะเจรจาการค้าของสหรัฐในวันนี้ และจีนจะเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงให้แก่คณะผู้แทนสหรัฐที่ภัตตาคารจีนในกรุงปักกิ่งด้วย
สื่อต่างประเทศรายงานว่า ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์อาจเลื่อนกำหนดเส้นตายในการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนออกไปอีก 60 วัน จากเดิมในวันที่ 1 มี.ค หากมีสัญญาณว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนใกล้จะบรรลุข้อตกลงการค้า
ทางด้านตลาดสหรัฐปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกดิ่งลง 1.2% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2552 โดยได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของยอดขายในสินค้าทุกหมวด
ด้านสำนักงานสถิติเยอรมนีรายงานว่า เศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาส 4 ของปี 2561 ทรงตัวหรือขยายตัวในอัตรา 0% ซึ่งถือเป็นการรอดพ้นจากภาวะถดถอย หลังจากที่เศรษฐกิจไตรมาส 3 หดตัวลง 0.2%
สำหรับปัจจัยในสหราชอาณาจักรนั้น นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ อาจจะถูกรัฐสภาปฏิเสธแผนการของเธอที่จะเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ปรับตัวขึ้นนำตลาด โดยหุ้นเอสทราเซเนกา พุ่งขึ้น 7.36% หลังบริษัทคาดการณ์ว่า ยอดขายจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้ ขณะที่หุ้นแกล็คโซ่สมิธไคลน์ บวก 1.23%
หุ้นไมโคร โฟกัส อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นบริษัทซอฟท์แวร์ ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในตลาด โดยพุ่ง 13.35% หลังบริษัทเปิดเผยผลประกอบการเพิ่มขึ้นและขยายแผนการซื้อคืนหุ้น
ส่วนหุ้นโคคา โคลา เอชบีซี ซึ่งเป็นผู้ผลิตขวดให้กับแบรนด์เครื่องดื่มยักษ์ใหญ่อย่าง KO ร่วงลง 8.38% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลกำไรเพิ่มขึ้นเพียง 5% ในปี 2561