ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดลบ 72.82 จุด เหตุวิตกสหรัฐ-จีนยังไม่ใกล้บรรลุข้อตกลงการค้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 28, 2019 06:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (27 ก.พ.) หลังจากนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ส่งสัญญาณว่า สหรัฐและจีนยังไม่มีแนวโน้มที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าในเร็วๆนี้ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของข้อตกลงการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันนักลงทุนซึมซับถ้อยแถลงในวันที่สองของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งยังคงย้ำว่า เฟดจะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และวางแผนที่จะยุติการปรับลดงบดุลในปีนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,985.16 จุด ลดลง 72.82 จุด หรือ -0.28% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,792.38 จุด ลดลง 1.52 จุด หรือ -0.05% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,554.51 จุด เพิ่มขึ้น 5.21 จุด, +0.07%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ของสภาผู้แทนราษฎร (House Ways and Means Committee) เมื่อวานนี้ว่า จีนจำเป็นต้องดำเนินการมากกว่าแค่เพียงซื้อสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น ก่อนที่สหรัฐและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าอย่างถาวร พร้อมกับกล่าวว่า การบังคับใช้ข้อตกลงที่สหรัฐและจีนอาจบรรลุในเดือนหน้า จะเป็นกระบวนการที่ยาวนาน

ถ้อยแถลงของนายไลท์ไฮเซอร์ได้สร้างแรงกดดันต่อตลาดอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ตลาดได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเลื่อนเวลาการปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน จากเดิมที่มีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 1 มี.ค.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลต่อประเด็นการเมืองในสหรัฐ หลังจากนายไมเคิล โคเฮน อดีตทนายความของปธน.ทรัมป์ได้ให้การต่อคณะกรรมการฝ่ายควบคุมดูแลและปฏิรูปแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐว่า ทรัมป์รู้เรื่องที่คณะทำงานในทีมรณรงค์หาเสียงของเขาได้เผยแพร่อีเมลหลายฉบับที่ทำให้นางฮิลลารี คลินตัน ได้รับความเสียหายในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2559

หุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพและกลุ่มประกันสุขภาพร่วงลง หลังจากวุฒิสมาชิกสหรัฐได้เสนอร่างกฎหมายที่จะผลักดันให้ชาวอเมริกันทุกคนเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล โดยหุ้นเอชซีเอ เฮลธ์แคร์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงพยาบาลรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ดิ่งลง 2.6% ขณะที่หุ้นซิกนา คอร์ปอเรชัน และหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นสองบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 4% และ 5% ตามลำดับ ส่วนหุ้นเซนเทเน คอร์ป ดิ่งลง 3% และหุ้นโมลินา เฮลธ์แคร์ ร่วงลง 3.8%

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทะยานขึ้น 2.6% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ดีดตัวขึ้น 1.04% หุ้นเชฟรอน ขยับขึ้น 0.12% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 0.92% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี เพิ่มขึ้น 0.98% และหุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 10.27%

หุ้นเบสต์บาย ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกสินค้าอิเลคทรอนิคส์รายใหญ่ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 14.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2561 ที่ระดับ 2.72 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.57 ดอลลาร์/หุ้น

หุ้นโลว์ส ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ และเป็นคู่แข่งของบริษัทโฮม ดีโปท์ อิงค์ พุ่งขึ้น 2.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2561 ที่ระดับ 80 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 79 เซนต์/หุ้น

นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้กล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสเป็นวันที่ 2 เมื่อวานนี้ โดยนายพาวเวลยังคงย้ำว่า เฟดจะใช้ความอดทนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย พร้อมกับยืนยันว่าเฟดจะยุติการปรับลดงบดุลภายในปีนี้ ซึ่งในการปรับลดงบดุลนั้น เฟดจะปล่อยให้พันธบัตรจำนวนหนึ่งครบอายุโดยไม่มีการนำรายได้ไปลงทุนในพันธบัตรใหม่ ซึ่งวงเงินการปรับลดงบดุลสูงสุดคือ 5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 4.6% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าปรับตัวขึ้นเพียง 0.4%

ส่วนข้อมูลที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนม.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2561, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ม.ค., รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนม.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.พ.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.พ.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ