ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงกว่า 100 จุดในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวลงในคืนนี้ โดยได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของหุ้นโบอิ้ง หลังเครื่องบิน Boeing 737 MAX 8 ของสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์เกิดอุบัติเหตุตกลงวานนี้ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 157 ราย
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ซบเซา และความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน และจีนเปิดเผยการส่งออกทรุดตัวลงในเดือนก.พ.
ณ เวลา 17.59 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 170 จุด หรือ 0.67% สู่ระดับ 25,358 จุด
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะทำการปรับเวลาซื้อ-ขายหุ้นในตลาดวันนี้ โดยจะปรับเวลาเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง เนื่องจากเข้าสู่ช่วง Daylight Saving Time
ทั้งนี้ ตลาดจะเปลี่ยนแปลงเวลาซื้อขาย จากเดิม 21:30-04:05 น. ตามเวลาไทย เป็น 20:30-03:05 น.ตามเวลาไทย
การปรับเวลาตาม Daylight Saving Time ในสหรัฐปีนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม-4 พฤศจิกายน
ราคาหุ้นโบอิ้งร่วงลงเกือบ 9% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีทวันนี้
ทั้งนี้ สายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์ ประกาศงดใช้เครื่องบิน Boeing 737 MAX 8 หลังจากเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว ขณะที่กรมการบินพลเรือนของจีน (CAAC) ก็ได้สั่งให้สายการบินภายในประเทศระงับการใช้เครื่องบินรุ่นดังกล่าว ส่วนกระทรวงคมนาคมของเกาหลีใต้ก็ได้เข้าตรวจสอบความปลอดภัยของเครื่องบินรุ่นนี้เช่นกัน
เครื่องบิน Boeing 737 MAX 8 ของสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์ เที่ยวบิน ET 302 ได้เดินทางออกจากสนามบินนานาชาติแอดดิส อะบาบา เมื่อเวลา 08.38 น.ของวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น เพื่อมุ่งหน้าสู่กรุงไนโรบี เมืองหลวงของประเทศเคนยา แต่เครื่องบินตกหลังจากขึ้นบินได้เพียง 6 นาที
อุบัติเหตุดังกล่าวนับเป็นโศกนาฎกรรมร้ายแรงครั้งที่ 2 ที่เกิดขึ้นกับเครื่องบิน Boeing 737 MAX 8 ซึ่งเป็นเครื่องบินรุ่นที่ขายดีที่สุดของโบอิ้ง หลังจากที่เครื่องบินรุ่นดังกล่าวของสายการบินไลอ้อนแอร์ ได้เกิดอุบัติเหตุตกลงนอกชายฝั่งอินโดนีเซียในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวม 189 ราย
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 20,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2560 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 180,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานร่วงลงสู่ระดับ 3.8% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงสู่ระดับ 3.9%
นอกจากนี้ นักลงทุนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก หลังจาก ECB ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนในปีนี้ สู่ระดับ 1.1% จากเดิมที่คาดการณ์ในเดือนธ.ค.ปีที่แล้วว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 1.7%
ทางด้านนายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB กล่าวว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภูมิรัฐศาสตร์, ภัยคุกคามจากมาตรการกีดกันทางการค้า และความเปราะบางของตลาดเกิดใหม่ ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เศรษฐกิจยูโรโซนเผชิญกับภาวะซบเซาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในอิตาลี, ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ส่งผลให้เศรษฐกิจยูโรโซนมีการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 4 ปีในปีที่แล้ว ขณะที่องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คาดว่ายูโรโซนจะมีการขยายตัวเพียง 1% ในปีนี้
ขณะเดียวกัน ตลาดยังถูกกดดันจากการส่งออกของจีนที่ทรุดตัวลง 20.7% ในเดือนก.พ.