ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (3 เม.ย.) ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะคืบหน้าด้วยดี โดยปัจจัยดังกล่าวช่วยหุ้นบริษัทผลิตชิพรายใหญ่ที่ต้องพึ่งพารายได้จากจีน ซึ่งรวมถึงหุ้นบริษัทแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวเซส (AMD) อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐได้สกัดแรงบวกของตลาดในระหว่างวัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,218.13 จุด เพิ่มขึ้น 39.00 จุด หรือ +0.15% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,873.40 จุด เพิ่มขึ้น 6.16 จุด หรือ +0.21% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,895.55 จุด เพิ่มขึ้น 46.86 จุด หรือ +0.60%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์สรายงานว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนสามารถแก้ไขประเด็นสำคัญๆส่วนใหญ่แล้ว แต่ยังคงมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับวิธีการบังคับใช้ข้อตกลงดังกล่าว โดยจีนต้องการให้สหรัฐยกเลิกภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของจีนในขณะนี้ ขณะที่สหรัฐต้องการให้จีนตกลงกับเงื่อนไขของกลไกการบังคับใช้เพื่อรับประกันว่าจีนจะปฏิบัติตามข้อตกลง
ไฟแนนเชียล ไทม์สระบุว่า หากการเจรจาการค้าระหว่างทั้งสองฝ่ายประสบผลสำเร็จ ก็จะมีการจัดการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและผู้นำจีน เพื่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงทำการลงนามในข้อตกลงการค้าอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ สัญญาณบวกของการเจรจาการค้าได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิพพุ่งขึ้น เนื่องจากบริษัทผลิตชิพรายใหญ่หลายแห่งของสหรัฐต้องพึ่งพารายได้จากจีน โดยหุ้น AMD ทะยานขึ้น 8.5% หุ้นอินเทล ดีดตัวขึ้น 2.06% หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 3.07% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี พุ่งขึ้น 3.4% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิพพุ่งขึ้น 2.3%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นแอปเปิล เพิ่มขึ้น 0.7% หุ้นอเมซอนดอทคอม เพิ่มขึ้น 0.4% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ปรับตัวขึ้น 0.5% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล เพิ่มขึ้น 0.4% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 0.6%
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงตามราคาน้ำมัน WTI เมื่อคืนนี้ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ลดลง 0.6% หุ้นเชฟรอน ลดลง 0.8% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ลดลง 0.9% และหุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ร่วงลง 1.6%
หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1.5% หลังจากนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ยอดการส่งมอบเครื่องบินซึ่งโบอิ้งมีกำหนดเปิดเผยสัปดาห์หน้า จะได้รับผลกระทบจากการที่สายการบินหลายแห่งได้ระงับการใช้เครื่องบินโบอิ้ง 737 Max หลังจากเครื่องบินรุ่นดังกล่าวของสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์ประสบอุบัติเหตุตกและคร่าชีวิตผู้โดยสารทั้งลำ
หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ปิดตลาดปรับตัวลง 0.6% หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในระหว่างวัน จากการที่ดอยซ์แบงก์ได้ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของแคทเธอร์พิลลาร์สู่ระดับ "hold" จาก "buy" โดยระบุว่า แคทเธอร์พิลลาร์จะได้รับผลกระทบจากการขยายตัวที่ซบเซาของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งจากการที่ตลาดสหรัฐเริ่มอิ่มตัวไปด้วยอุปกรณ์ และเครื่องจักรด้านการก่อสร้างจำนวนมาก
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 129,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 173,000 ตำแหน่ง
ทางด้านสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 56.1 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2560 และต่ำกว่าระดับ 59.7 ในเดือนก.พ.
ข้อมูลดังกล่าวของ ISM สอคล้องกับรายงานของไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ร่วงลงสู่ระดับ 55.3 ในเดือนมี.ค. จากระดับ 56.0 ในเดือนก.พ. โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.ของสหรัฐซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยในวันพรุ่งนี้ ขณะผลสำรวจของนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งระบุว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.8%