ดัชนีดาวโจนส์พลิกกลับสู่แดนบวก หลังเปิดปรับตัวลงในวันนี้ โดยนักลงทุนจับตาการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2512
ณ เวลา 20.45 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,314.48 จุด ดีดขึ้น 96.35 จุด หรือ 0.37% หลังเปิดตลาดลดลง -4.71 จุด
นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้า และนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้เริ่มเจรจารอบใหม่กับนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ขณะที่สื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า สหรัฐและจีนกำลังร่างข้อตกลงการค้า ซึ่งหากข้อตกลงดังกล่าวเป็นผลสำเร็จแล้ว ก็จะนำไปสู่พิธีลงนามระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน
ด้านทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ปธน.ทรัมป์จะพบปะกับนายหลิวในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ หรือเวลา 03.30 น.ตามเวลาไทยในวันศุกร์นี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของทำเนียบขาวคาดว่า ปธน.ทรัมป์อาจจะประกาศแผนการจัดประชุมสุดยอดร่วมกับปธน.สี จิ้นผิง ในระหว่างการพบปะกับนายหลิวในวันนี้ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า การเจรจาการค้าระหว่าง 2 ประเทศอาจใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยก่อนตลาดหุ้นเปิดทำการวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 10,000 ราย สู่ระดับ 202,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 30 มี.ค.
โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2512 หรือในรอบ 49 ปี หลังจากที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ และลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับระดับ 244,000 รายในช่วงปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะอยู่ที่ระดับ 216,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ ลดลง 4,000 ราย สู่ระดับ 213,500 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2561
สำหรับจำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 มี.ค. มีจำนวนลดลง 38,000 ราย สู่ระดับ 1.72 ล้านราย
ขณะที่ตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานอย่างต่อเนื่อง ลดลง 8,000 ราย สู่ระดับ 1.74 ล้านราย