ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งกว่า 200 จุด ปรับตัวลงเป็นวันที่ 2 ขณะที่นักลงทุนกังวลต่อการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้
ณ เวลา 20.47 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,129.21 จุด ลบ 211.81 จุด หรือ 0.80%
ราคาหุ้นโบอิ้งร่วงลงกว่า 1% หลังจากประกาศแผนการลดการผลิตเครื่องบินโบอิ้งรุ่น 737 MAX
ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐหลายแห่งจะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกในสัปดาห์นี้ โดยเจพีมอร์แกนเชส และเวลส์ฟาร์โก จะเปิดเผยผลประกอบการในวันศุกร์นี้ ขณะที่ซิตี้กรุ๊ป และแบล็คร็อคจะเปิดเผยในสัปดาห์หน้า
นักลงทุนคาดการณ์ว่าบริษัทในดัชนี S&P 500 จะมีผลกำไรในไตรมาสแรกลดลง 4.3% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งจะเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2559
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดการณ์ว่าบริษัทในดัชนี S&P 500 จะมีรายได้ในไตรมาสแรกต่ำกว่าระดับ 5%
อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นแอปเปิลดีดตัวขึ้นเกือบ 1% ในวันนี้ โดยปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 10 ซึ่งเป็นช่วงขาขึ้นที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2553
ทางด้าน IMF ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ สู่ระดับ 3.3% จากเดิมที่ระดับ 3.5% โดยได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า รวมทั้งการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
อย่างไรก็ดี IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 3.6% ในปีหน้า ซึ่งเท่ากับการขยายตัวในปี 2561
"ดุลความเสี่ยงยังคงอยู่ในช่วงขาลง และการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นจะทำให้มีการดีดตัวขึ้นของต้นทุนของสินค้านำเข้าขั้นกลาง, สินค้าทุน และราคาสินค้าขั้นสุดท้ายสำหรับผู้บริโภค นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้า และความกังวลเกี่ยวกับการตอบโต้ทางการค้า จะทำให้การลงทุนลดลง, ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก และการขยายตัวของประสิทธิภาพการผลิตชะลอตัวลง ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของภาคเอกชนลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน และฉุดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ" IMF ระบุ
นอกจากนี้ IMF ยังเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง, ความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกจัดการเลือกตั้ง และความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียตะวันออก
นักลงทุนจับตาความสัมพันธ์ทางการค้าที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและสหภาพยุโรป (EU) หลังจากที่องค์การการค้าโลก (WTO) มีคำตัดสินระบุว่า การที่ EU ให้เงินอุดหนุนแอร์บัส ได้ส่งผลกระทบต่อสหรัฐ ซึ่งทำให้สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจาก EU คิดเป็นมูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ EU ขู่ตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐเช่นกัน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความในวันนี้ ระบุว่า สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจาก EU คิดเป็นมูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากที่ WTO มีคำตัดสินระบุว่า การที่ EU ให้เงินอุดหนุนแอร์บัส ได้ส่งผลกระทบต่อสหรัฐ
"WTO พบว่าการที่ EU ให้เงินอุดหนุนแอร์บัส ได้ส่งผลกระทบต่อสหรัฐ และขณะนี้สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจาก EU คิดเป็นมูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งที่ผ่านมา EU ได้เอาเปรียบทางการค้าต่อสหรัฐเป็นเวลาหลายปี แต่ EU จะต้องยุติการกระทำดังกล่าวในไม่ช้า" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนก.พ., อัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.พ., สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA), รายงานคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมี.ค.