ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (9 เม.ย.) เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่า สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) คิดเป็นมูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,150.58 จุด ร่วงลง 190.44 จุด หรือ -0.72% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,878.20 จุด ลดลง 17.57 จุด หรือ -0.61% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,909.28 จุด ลดลง 44.61 จุด หรือ -0.56%
ปธน.ทรัมป์ได้ทวีตข้อความยืนยันเมื่อวานนี้ว่า สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก EU คิดเป็นมูลค่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังจากที่องค์การการค้าโลก (WTO) มีคำตัดสินระบุว่า การที่ EU ให้เงินอุดหนุนแอร์บัส ได้ส่งผลกระทบต่อสหรัฐ
ทางด้านสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าเฮลิคอปเตอร์โดยสาร ชีส ไวน์ ชุดสกี รถจักรยานยนต์บางประเภท และสินค้าประเภทอื่นๆ วงเงินประมาณ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อตอบโต้การที่ EU ใช้มาตรการอุดหนุนแอร์บัส บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินคู่แข่งของบริษัทโบอิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินของสหรัฐ
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐระบุว่า สหรัฐจะล้มเลิกแผนการดังกล่าวก็ต่อเมื่อ EU ยกเลิกมาตรการให้เงินอุดหนุนต่อแอร์บัส โดยสหรัฐและ EU ต่างก็กล่าวหาแต่ละฝ่ายว่า ให้เงินอุดหนุนที่ผิดกฎหมายมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์แก่โบอิ้งและแอร์บัส เพื่อชิงความได้เปรียบในการแข่งขันในวงการธุรกิจผลิตเครื่องบิน
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากเป็นหุ้นที่อ่อนไหวต่อข้อพิพาทการค้าระหว่างประเทศ โดยหุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1.5% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 2.5% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ลดลง 1% หุ้นยูเอส สตีล ดิ่งลง 10% และหุ้นเอเค สตีล ร่วงลง 5.8% และหุ้น 3M ลดลง 1.4%
หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (GE) ร่วงลง 3.9% หลังจากเจพีมอร์แกนได้ปรับลดอันดับความน่าลงทุนของหุ้น GE
หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลงเนื่องจากผลกระทบของคำสั่งห้ามนำเครื่องบินโบอิ้ง 737 Max ขึ้นบิน โดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ส ร่วงลง 1.7% หุ้นเจ็ทบลู แอร์เวย์ส ร่วงลง 1.4% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ส 0.13% และหุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล ลดลง 0.4%
ทั้งนี้ สายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์รายได้/ที่นั่ง/ไมล์ในไตรมาสแรก สู่ระดับ 0-1% จากเดิมที่ระดับ 0-2% โดยมีสาเหตุจากการที่เครื่องบินโบอิ้ง 737 Max ถูกคำสั่งห้ามบิน ซึ่งทำให้อเมริกัน แอร์ไลน์ต้องยกเลิกเที่ยวบินจำนวน 1,200 เที่ยวในไตรมาสแรก
หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ปรับตัวลง 0.9% หลังจากผู้บริหารของแบงก์ ออฟ อเมริกา ประกาศว่า นับตั้งวันที่ 1 พ.ค. ค่าจ้างขั้นต่ำสำหรับพนักงานแบงก์ ออฟ อเมริกา จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 17 ดอลลาร์/ชั่วโมง และจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 20 ดอลลาร์/ชั่วโมงภายในเวลา 2 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันหลังจาก IMF ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ สู่ระดับ 3.3% จากเดิมที่ระดับ 3.5% โดยได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า รวมทั้งการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะเดียวกัน IMF ยังเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง, ความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะที่หลายประเทศทั่วโลกจัดการเลือกตั้ง และความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียตะวันออก
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ร่วงลง 538,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 7.1 ล้านตำแหน่งในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนมี.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.พ., สต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA), คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมี.ค.,ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมี.ค. และ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน