ดัชนีดาวโจนส์เปิดแดนบวกในวันนี้ ขานรับความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ณ เวลา 21.18 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,206.73 จุด บวก 49.57 จุด หรือ 0.19%
หุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นโบอิ้ง และเจพีมอร์แกนทะยานขึ้นในการซื้อขายช่วงแรก
นักลงทุนแห่ซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร ก่อนการเปิดเผยผลประกอบการในวันพรุ่งนี้
นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ เปิดเผยว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงมีความคืบหน้า และทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันเกี่ยวกับการจัดตั้งกลไกในการบังคับใช้ข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุ
นายมนูชินกล่าวว่า การหารือกับนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน เป็นไปด้วยดี
"เราสามารถตกลงกันเกี่ยวกับกลไกการบังคับใช้ข้อตกลง โดยทั้งสองฝ่ายจะมีการจัดตั้งสำนักงานขึ้นเพื่อดูแลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว" นายมนูชินกล่าว
"ถ้าเราสามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าว ก็จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐและจีนในรอบ 40 ปี" เขากล่าว
นอกจากนี้ จีนยังได้เห็นพ้องที่จะเปิดธุรกิจคลาวด์ให้แก่บริษัทต่างชาติ
ตลาดยังขานรับการที่ผู้นำของสหภาพยุโรป (EU) มีมติให้อังกฤษขยายกำหนดเส้นตายการถอนตัวออกจาก EU (Brexit) เป็นวันที่ 31 ต.ค. ซึ่งจะช่วยให้อังกฤษหลีกเลี่ยงสถานการณ์ Brexit ที่ไม่มีการทำข้อตกลง
ขณะเดียวกัน รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งระบุว่า เฟดได้ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปีนี้ ก็ได้เป็นปัจจัยบวกต่อตลาด
นายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟด สาขานิวยอร์ก กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในสถานะแข็งแกร่ง เมื่อพิจารณาจากมุมมองนโยบายการเงิน
"เรากำลังเข้าใกล้การขยายตัวที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ของสหรัฐ ขณะที่อัตราการว่างงานต่ำเป็นประวัติการณ์ และเงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมาย 2% ของเฟด" นายวิลเลียมส์กล่าว
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 8,000 ราย สู่ระดับ 196,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2512
จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 4
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 211,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
กระทรวงแรงงานสหรัฐยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนก.พ.
การพุ่งขึ้นของดัชนี PPI ได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของราคาพลังงาน และอาหาร
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนมี.ค. หลังจากขยับขึ้น 1.9% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2560
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PPI จะปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และดีดตัวขึ้น 1.9% เมื่อเทียบรายปี
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหาร, พลังงาน และภาคบริการ ทรงตัวในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนก.พ.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พื้นฐานเพิ่มขึ้น 2.0% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2560 หลังจากเพิ่มขึ้น 2.3% ในเดือนก.พ.