ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (26 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาสแรกของสหรัฐที่ดีเกินคาด และการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งได้ช่วยชดเชยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มชิพ หลังบริษัทอินเทลคาดการณ์รายได้ปี 2562 ต่ำกว่าคาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,543.33 จุด เพิ่มขึ้น 81.25 จุด หรือ +0.31% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,939.88 จุด เพิ่มขึ้น 13.71 จุด หรือ +0.47% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,146.40 จุด เพิ่มขึ้น 27.72 จุด หรือ +0.34%
ตลาดปรับตัวขึ้น หลังการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ขยายตัวเกินคาด โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2562 ที่ระดับ 3.2% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.5% และสูงกว่าระดับ 2.2% ในไตรมาส 4/2561
แต่การร่วงลงของหุ้นชิพกดดันตลาด โดยหุ้นอินเทลร่วงลง 8.99% หลังคาดการณ์รายได้ปี 2562 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ แม้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกสูงกว่าคาดก็ตาม
หุ้นเวสเทิร์น ดิจิตอล ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก ร่วงลงกว่า 3.83% หลังหุ้นของบริษัทถูกปรับลดอันดับความน่าลงทุนลงสู่ระดับ "underperform" ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะธุรกิจ เนื่องจากปริมาณสินค้าคงคลังของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แต่หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ พุ่งขึ้นกว่า 10.74% หลังการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งสำหรับรถกระบะ และรถ SUV ของฟอร์ดในอเมริกาเหนือ
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นในช่วงปิดตลาด โดยหุ้นบวกนำตลาดได้แก่ หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ซึ่งปรับตัวขึ้นเกือบ 1%
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ได้แก่ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 97.2 ในเดือนเม.ย. แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 97.0 จากระดับ 98.4 ในเดือนมี.ค.