ดัชนีดาวโจนส์พลิกดีดตัวสู่แดนบวก ขานรับข่าวที่ว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีแผนที่จะชะลอการเรียกเก็บภาษีต่อรถยนต์นำเข้าจากยุโรปออกไปอีก 6 เดือน
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 100 จุดในช่วงแรก หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่ซบเซาของจีนและสหรัฐ ท่ามกลางความกังวลที่ว่าการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก
ณ เวลา 21.42 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 25,544.69 จุด บวก 12.64 จุด หรือ 0.05%
หุ้นกลุ่มรถยนต์ดีดตัวขึ้น รับข่าวการชะลอเรียกเก็บภาษีต่อรถยนต์นำเข้าจากยุโรป
แหล่งข่าวเปิดเผยต่อสำนักข่าว CNBC ว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีแผนที่จะชะลอการเรียกเก็บภาษีต่อรถยนต์นำเข้าจากยุโรปออกไปอีก 6 เดือน เนื่องจากไม่ต้องการเปิดสงครามการค้ากับยุโรป ขณะที่สหรัฐยังคงมีความขัดแย้งทางการค้ากับจีน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% ทำให้จีนตอบโต้เมื่อวันจันทร์ ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์มีเวลาจนถึงเที่ยงคืนวันศุกร์นี้ตามเวลาสหรัฐ หรือเวลา 11.00 น.ในวันเสาร์ตามเวลาไทย ในการประกาศขึ้นภาษีต่อรถยนต์นำเข้าจากยุโรป หลังจากที่เขาเคยขู่เมื่อปีที่แล้วว่าจะขึ้นภาษีดังกล่าว สู่ระดับ 20% โดยอ้างว่าตัวเลขขาดดุลการค้าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐ
ตามกฎหมายสหรัฐ รัฐบาลสหรัฐยังคงมีเวลาอีก 180 วันในการทำการตัดสินใจในเรื่องการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ตราบใดที่สหรัฐกำลังเจรจากับทางยุโรป
ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์มองว่าการใช้มาตรการภาษีจะทำให้สหรัฐเป็นฝ่ายได้เปรียบในการเจรจาการค้ากับจีน สหภาพยุโรป (EU) และญี่ปุ่น
อย่างไรก็ดี EU ก็ได้เตรียมรายชื่อสินค้าสหรัฐที่จะถูกตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีเช่นกัน หากปธน.ทรัมป์เดินหน้าเรียกเก็บภาษีต่อรถยนต์นำเข้าจาก EU
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 5.4% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2546 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.5%
นอกจากนี้ NBS รายงานว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 7.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2546 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.6% จากระดับ 8.7% ในเดือนมี.ค.
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกลดลง 0.2% ในเดือนเม.ย. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.2%
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้ปรับเพิ่มตัวเลขยอดค้าปลีกในเดือนมี.ค.เป็นพุ่งขึ้น 1.7% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2560 จากเดิมที่ระดับ 1.6% หลังจากที่ร่วงลง 0.2% ในเดือนก.พ.
การปรับตัวลงของยอดค้าปลีกในเดือนเม.ย.ได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของยอดขายรถยนต์
เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.1% ในเดือนเม.ย.
ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ทรงตัวในเดือนเม.ย. หลังจากพุ่งขึ้น 1.1% ในเดือนมี.ค.
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานในวันนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐปรับตัวลงในเดือนเม.ย. โดยได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของการผลิตรถยนต์ และอะไหล่
เฟดเปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐร่วงลง 0.5% ในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมี.ค.
ทั้งนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเป็นการวัดการปรับตัวของภาคการผลิต, เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค ขณะที่ภาคการผลิต และสาธารณูปโภคร่วงลงในเดือนเม.ย. แต่ภาคเหมืองแร่ดีดตัวขึ้น
ราคาหุ้นเมซีส์ อิงค์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นในวันนี้ หลังจากที่บริษัทรายงานกำไรที่สูงกว่าคาดในไตรมาสแรก
ทั้งนี้ เมซีส์เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 44 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 33 เซนต์/หุ้น
อย่างไรก็ดี รายได้อยู่ที่ระดับ 5.504 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.505 พันล้านดอลลาร์
เมซีส์ยังระบุว่ายอดขายเพิ่มขึ้น 0.7% เทียบกับที่นักวิเคราะห์ที่คาดว่ายอดขายจะลดลง 0.2%