ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าทั้งในแดนบวกและลบในวันนี้ ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากรัฐบาลสหรัฐได้ประกาศมาตรการที่พุ่งเป้ากีดกันบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ของจีน ในการทำธุรกิจในตลาดสหรัฐ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 21,055.61 จุด ลดลง 132.95 จุด, -0.63% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดภาคเช้าที่ 1,609.02 จุด ลดลง 2.41 จุด, -0.15% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 28,336.91 จุด เพิ่มขึ้น 68.20 จุด, +0.24%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติเพื่อห้ามบริษัทของสหรัฐจากการใช้เทคโนโลยีและบริการด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของบริษัทที่สหรัฐเชื่อว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่พุ่งเป้าอย่างชัดเจนไปที่บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ของจีน
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า สหรัฐได้นำชื่อของหัวเว่ย และบริษัทในเครือ 70 แห่ง เข้ารวมอยู่ใน "Entity List" ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อของบริษัทเทเลคอมที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้บริษัทของสหรัฐเข้าซื้ออุปกรณ์ต่างๆโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐ โดยการดำเนินการดังกล่าวจะสร้างความยากลำบากให้กับบริษัทหัวเว่ยในการขายผลิตภัณฑ์ เนื่องจากหัวเว่ย ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ด้านการสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่สุดของโลก ต้องพึ่งพาบรรดาซัพพลายเออร์ในสหรัฐ
หุ้นกลุ่มรถยนต์ในเอเชียปรับตัวผันผวนในวันนี้ หลังจากมีรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐมีแผนที่จะชะลอการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ออกไปอีก 6 เดือน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยในวันนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ราคาบ้านใหม่ใน 4 เมืองหลักของจีน ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น และกว่างโจว ปรับตัวขึ้น 0.6% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนมี.ค.ที่มีการขยายตัว 0.2%
ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อในระดับค้าส่ง ปรับตัวขึ้น 1.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี เนื่องจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ดัชนี PPI ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 28