ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (17 พ.ค.) โดยถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับกระบวนการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,348.62 จุด ลดลง 4.89 จุด หรือ -0.07%
ตลาดปรับตัวลงโดยถูกกดดันจากข่าวที่ว่า การเจรจาระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และพรรคแรงงานของนายเจเรมี คอร์บิน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษ ประสบความล้มเหลวในวันศุกร์ โดยทั้งสองฝ่ายยังคงมีความขัดแย้งเกี่ยวกับการทำข้อตกลง Brexit
ทั้งนี้ การเจรจาเป็นเวลา 6 สัปดาห์ระหว่างแกนนำของพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคแรงงานได้เสร็จสิ้นลงโดยไม่มีการบรรลุข้อตกลงใดๆ ขณะที่นายคอร์บินระบุในจดหมายถึงนางเมย์ว่า การเจรจาได้ไปไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว และขณะนี้พรรคแรงงานจะเดินหน้าขัดขวางข้อตกลง Brexit ของนางเมย์
นายคอร์บินระบุเสริมว่า การที่นางเมย์ขาดเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภา และนางเมย์มีแนวโน้มที่จะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการเจรจา
ทั้งนี้ แกนนำของพรรคอนุรักษ์นิยมระบุว่า นางเมย์จะประกาศกำหนดเวลาของการลาออกจากตำแหน่งในช่วงต้นเดือนหน้า
ทางด้านนายบอริส จอห์นสัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ประกาศชิงตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่ แทนนางเมย์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงกังวลกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนประสบความล้มเหลวในสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากที่ประชุมไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้า ขณะที่สหรัฐได้เพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ส่งผลให้จีนทำการตอบโต้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ด้วยการเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง โดยหุ้นเอชเอสบีซี ของอังกฤษ ลดลง 1.47% และหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ร่วง 1.85%
หุ้นจัส อีต ทรุดลง 8.23% หลังบริษัทอเมซอนสนับสนุนด้านเงินทุนครั้งใหม่ให้กับบริษัทเดลิเวอเรอ ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งของจัส อีต ในด้านบริการส่งอาหาร