ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (22 พ.ค.) โดยถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และความไม่แน่นอนของกระบวนการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มรถยนต์ ปรับตัวลงมากที่สุด
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลบ 0.08% ปิดที่ 379.19 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,378.98 จุด ลดลง 6.48 จุด หรือ -0.12% ขณะที่ ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,168.74 จุด เพิ่มขึ้น 25.27 จุด หรือ +0.21% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,334.19 จุด เพิ่มขึ้น 5.27 จุด หรือ +0.07%
ตลาดปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวว่า เขายังไม่มีกำหนดการเดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อเจรจาการค้ารอบใหม่
ทางด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ก็ได้ส่งสัญญาณว่า จีนพร้อมที่จะทำสงครามการค้าที่ยืดเยื้อกับสหรัฐ
นอกจากนี้ ข่าวที่ว่าสหรัฐกำลังพิจารณาห้ามการทำธุรกิจกับบริษัท Hikvision ซึ่งเป็นบริษัทผลิตกล้องวงจรปิดของจีน ก็ทำให้นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้นด้วย
หุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มที่อ่อนไหวต่อประเด็น Brexit นำตลาดปรับตัวลง ขณะที่มีแรงกดดันเพิ่มขึ้นให้นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษลาออกจากตำแหน่ง หลังสมาชิกรัฐสภาในพรรคของเธอปฏิเสธข้อตกลง Brexit
หุ้นบังโก แซนแทนเดอร์ ลบ 1.12% หุ้นลอยด์ส ลดลง 2.26% และ หุ้นบาร์เคลย์ส ปรับตัวลง 2.66%
หุ้นเดมเลอร์ เอจี ลดลง 2.48%
หุ้นมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ร่วง 9.37% หลังบริษัทรายงานว่า ผลกำไรปีงบการเงิน 2562 ลดลง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้าง และได้เปิดเผยรายละเอียดของการออกหุ้นเพิ่มทุนมูลค่า 601.3 ล้านปอนด์ เพื่อใช้ในการร่วมทุนกับบริษัทโอคาโด กรุ๊ปด้วย