ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (31 พ.ค.) โดยถูกกดดันจากการที่สหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจากเม็กซิโกในอัตรา 5% และการที่จีนเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่น่าผิดหวัง ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,161.71 จุด ลดลง 56.45 จุด หรือ -0.78%
ตลาดปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกในอัตรา 5% ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.นี้ โดยมีเป้าหมายที่จะกดดันให้รัฐบาลเม็กซิโกสกัดการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายที่ข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกับภาวะเศรษฐกิจจีนด้วย หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ค. อยู่ที่ระดับ 49.4 ลดลงจากระดับ 50.1 ในเดือนเม.ย. นอกจากนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ค. ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 49.9
หุ้นกลุ่มการเงิน และ หุ้นกลุ่มเหมืองร่วงลงอย่างหนัก ขณะที่หุ้นกลุ่มส่งออกถูกกดดันจากการที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับปอนด์
หุ้นบริติช อเมริกัน โทแบคโค ร่วง 2.46% หุ้นเดียจีโอ ลดลง 0.89% และ หุ้นยูนิลีเวอร์ ปรับตัวลง 1.38%
หุ้นกลุ่มก่อสร้างบ้าน ร่วงลงด้วย หลังเนชันไวด์เปิดเผยว่า ราคาบ้านในอังกฤษในเดือนเม.ย.ชะลอตัวลงเกินคาด โดยมีอัตราการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ซึ่งตรงข้ามกับสัญญาณอื่นๆที่บ่งชี้ว่า ตลาดบ้านอาจผ่านพ้นช่วงเลวร้ายที่สุดของการชะลอตัวก่อนที่อังกฤษจะถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) แล้ว
ทั้งนี้ ราคาบ้านเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนเม.ย. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่า ราคาบ้านอาจเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนพ.ค.
หุ้นเพอร์ซิมมอน ลบ 0.41% หุ้นเทย์เลอร์ วิมพีย์ ร่วง 2.05% และ หุ้นบาร์แรตต์ ปรับตัวลง 1.90%