(REPEAT) ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 354.84 จุด เหตุนลท.วิตก"ทรัมป์"เปิดศึกการค้ากับเม็กซิโก

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 3, 2019 06:18 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (31 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกต่อการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก ขณะที่ยังคงมีความขัดแย้งด้านการค้ากับจีน ซึ่งอาจจะส่งผลให้สหรัฐเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,815.04 จุด ร่วงลง 354.84 จุด หรือ -1.41% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,752.06 จุด ร่วงลง 36.80 จุด หรือ -1.32% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,453.15 จุด ร่วงลง 114.57 จุด หรือ -1.51%

ตลาดปรับตัวลง เนื่องจากปธน.ทรัมป์ได้สร้างความตื่นตระหนกต่อตลาดด้วยการประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากเม็กซิโกในอัตรา 5% ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย.นี้ โดยปธน.ทรัมป์มีเป้าหมายที่จะกดดันให้รัฐบาลเม็กซิโกสกัดการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายที่ข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐ

ขณะเดียวกัน สหรัฐยังเผชิญข้อพิพาททางการค้าจากจีน ขณะที่สื่อรายงานว่า จีนได้ระงับการซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐแล้ว และอาจระงับการส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าที่รุนแรงขึ้น

ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนแถลงเมื่อวันศุกร์ว่า ทางกระทรวงจะจัดทำรายชื่อบริษัทต่างชาติ, องค์กร และบุคคล ซึ่งทางกระทรวงมองว่าไม่น่าเชื่อถือ และเป็นภัยต่อบริษัทของจีน

ทั้งนี้ นายเกา เฟิง โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน กล่าวว่า รายชื่อดังกล่าว จะประกอบด้วยบริษัท, องค์กร หรือผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของตลาด และเจตจำนงของสัญญา โดยสกัดกั้นการส่งสินค้าไปยังบริษัทจีน อันเนื่องจากเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับเชิงพาณิชย์ และบ่อนทำลายสิทธิและผลประโยชน์โดยชอบตามกฎหมายของบริษัทจีน

อย่างไรก็ดี ทางกระทรวงไม่ได้ระบุชื่อประเทศ หรือบริษัทใดๆ ในแถลงการณ์ดังกล่าว

ทั้งนี้ หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 ปิดลบ นำโดยกลุ่มบริการสื่อสาร ร่วงลงกว่า 2%

หุ้นของบริษัทที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในเม็กซิโกได้รับผลกระทบ หลังจากปธน.ทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้า 5% กับสินค้าทั้งหมดจากเม็กซิโกตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. และจะปรับขึ้นจนถึง 25% ภายในเดือนต.ค. หากเม็กซิโกไม่สามารถหยุดการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายจากเม็กซิโกเข้าไปยังพรมแดนสหรัฐ

หุ้นกลุ่มรถยนต์และกลุ่มค้าปลีกร่วงลงหนักที่สุด โดยได้รับผลกระทบจากการทำสงครามการค้ากับเม็กซิโก และจีน

หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ส ร่วง 4.25% และ หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ร่วง 2.16% ขณะที่หุ้นวอลมาร์ท ลดลง 0.73%

แต่หุ้นอูเบอร์ ผู้ให้บริการรถโดยสารรับส่งผ่านแอปพลิเคชัน บวก 1.53% สวนทางตลาด หลังบริษัทรายงานรายได้ไตรมาสแรกที่แข็งแกร่งเกินคาด 2.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดเล็กน้อย และ เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบเป็นรายปี

นักลงทุนได้ให้ความสนใจกับการรายงานผลประกอบการของอูเบอร์ เนื่องจากถือเป็นการรายงานครั้งแรก นับตั้งแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 100.0 ในเดือนพ.ค. จากตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 102.4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. หลังจากพุ่งขึ้น 1.1% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2552

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ในเดือนเม.ย.

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยับขึ้น 0.2% ในเดือนมี.ค. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE เพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนเม.ย. หลังจากปรับตัวขึ้น 1.4% ในเดือนมี.ค.

ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนมี.ค. และ เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนเม.ย. หลังจากดีดตัวขึ้น 1.5% ในเดือนมี.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ