ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) โดยได้รับปัจจัยลบจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพ และตัวเลขยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐที่อ่อนแรงลงในเดือนพ.ค. อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงไม่มากนัก ขณะที่ดัชนี Nasdaq ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก เนื่องจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มพลังงานเป็นปัจจัยหนุนตลาดในระหว่างวัน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม G20 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความหวังที่ว่า ผู้นำสหรัฐและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าในระหว่างการพบปะกันครั้งนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,536.82 จุด ลดลง 11.40 จุด หรือ -0.04% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,913.78 จุด ลดลง 3.60 จุด หรือ -0.12% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,909.97 จุด เพิ่มขึ้น 25.25 จุด หรือ +0.32%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 1.3% ในเดือนพ.ค. โดยได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของคำสั่งซื้อในกลุ่มขนส่ง
หุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพปรับตัวลง ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดตลาดลงเช่นกัน โดยหุ้นไฟเซอร์ ร่วงลง 1.8% หุ้นเมิร์ค แอนด์ โค ร่วงลง 2% หุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส ลดลง 1.5% หุ้นเอชซีเอ เฮลธ์แคร์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงพยาบาลรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ร่วงลง 1.1% ส่วนหุ้นซิกนา คอร์ป และหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นสองบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลง 2% และลดลง 1.7% ตามลำดับ
หุ้นเจเนอรัล มิลส์ ร่วงลง 4.5% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในบรรดาหุ้นที่คำนวณในดัชนี S&P500 หลังจากเจเนอรัล มิลส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปรายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยยอดขายที่ต่ำกว่าคาด อันเนื่องมาจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงในตลาดอเมริกาเหนือ
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ดีดตัวขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นเกือบ 3% ขานรับสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาด โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวขึ้น 0.4% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 4.3% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 0.2% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 2.9% หุ้นมาราธอน ปิโตรเลียม ทะยานขึ้น 5.5% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 2.1% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 3.1%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.2% หลังจากสื่อรายงานว่าบริษัทแอปเปิล อิงค์ ได้เข้าซื้อกิจการ Drive.ai ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่ให้บริการรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ขณะที่หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ทะยานขึ้น 13.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด ส่วนหุ้นบรอดคอม ปรับตัวขึ้น 1.8% หุ้นอเมซอนดอทคอม เพิ่มขึ้น 1.04% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ เพิ่มขึ้น 0.5% หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 5.1% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (AMD) พุ่งขึ้น 3.6% และหุ้นอินเทล พุ่งขึ้น 2.8%
หุ้นเฟดเอ็กซ์ พุ่งขึ้น 2.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.78 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 พ.ค.ตามปีงบการเงินของบริษัท จากระดับ 1.73 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากการขยายตัวของปริมาณการขนส่งในสหรัฐ และรายได้ที่เพิ่มขึ้นในส่วนของธุรกิจ FedEx Freight และ FedEx Ground
นักลงทุนจับตาการพบปะกันระหว่างปธน.ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม G20 ที่นครโอซากาของญี่ปุ่นในช่วงสุดสัปดาห์นี้ โดยตลาดมีมุมองที่เป็นบวกหลังจากนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐและจีนใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าแล้ว พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่า ปธน.ทรัมป์ และปธน.สี จิ้นผิง จะสามารถสร้างความคืบหน้าในการเจรจาการค้าในการประชุมครั้งนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2562, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค., การใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนพ.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน