ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (27 มิ.ย.) หลังจากราคาหุ้นโบอิ้งร่วงลงเกือบ 3% ท่ามกลางความกังวลที่ว่า เครื่องบิน 737 MAX ของบริษัทโบอิ้งจะยังคงถูกสั่งห้ามบินต่อไป อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดตลาดปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองเป็นบวกว่า การเจรจาการค้าระหว่างผู้นำสหรัฐและจีนในการประชุม G20 วันเสาร์นี้ จะมีความคืบหน้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,526.58 จุด ลดลง 10.24 จุด หรือ -0.04% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,924.92 จุด เพิ่มขึ้น 11.14 จุด หรือ +0.38% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,967.76 จุด เพิ่มขึ้น 57.79 จุด หรือ +0.73%
หุ้นโบอิ้ง ปิดตลาดร่วงลง 2.97% หลังจากสื่อรายงานว่าสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐ (FAA) ได้ตรวจพบความเสี่ยงด้านความปลอดภัยครั้งใหม่ของเครื่องบินโบอิ้ง 737 MAX ซึ่งทางบริษัทจะต้องดำเนินการแก้ไขก่อนที่ FAA จะยกเลิกคำสั่งห้ามบิน ขณะที่สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ระบุว่า โบอิ้งจะต้องจัดโครงการอบรมนักบินสำหรับเครื่องบินรุ่น 737 MAX ให้แก่หน่วยงานกำกับกฎระเบียบ รวมทั้งสายการบินทั่วโลก
ทั้งนี้ เครื่องบินโบอิ้ง 737 MAX ถูกสั่งห้ามบิน หลังจากเกิดอุบัติเหตุตกในอินโดนีเซียในเดือนต.ค.ปีที่แล้ว และในเอธิโอเปียเมื่อเดือนมี.ค.ปีนี้ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
หุ้นโคนากรา แบรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาหารสำเร็จรูปรายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลง 12.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรและยอดขายที่ต่ำกว่าคาด
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.02% หุ้นเชฟรอน ลดลง 0.6% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 1.57% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 1.3% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 2.03%
อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดตลาดในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่าการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม G20 ที่ญี่ปุ่นในวันเสาร์นี้ จะมีความคืบหน้า หลังจากหนังสือพิมพ์เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ของฮ่องกง รายงานว่า สหรัฐและจีนได้ตกลงที่จะสงบศึกการค้าชั่วคราว ก่อนที่ปธน.ทรัมป์และปธน.สี จิ้นผิง จะพบปะเจรจานอกรอบการประชุม G20 ที่ประเทศญี่ปุ่น
หุ้นบริษัทเทคโนโลยีและผู้ผลิตชิพซึ่งต้องพึ่งพารายได้จากการลงทุนในประเทศจีนนั้น ดีดตัวขึ้นขานรับความหวังในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยหุ้นบรอดคอม พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี พุ่งขึ้น 2.8% หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (AMD) ทะยานขึ้น 2.7% หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 0.16%
หุ้นวอลกรีนส์ บู้ทส์ อัลลิอันซ์ ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านขายยาของสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรสูงกว่าคาดในไตรมาส 3 ตามปีงบการเงินของบริษัท โดยวอลกรีนส์ระบุว่า บริษัทมีกำไรที่ระดับ 1.47 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.43 ดอลลาร์/หุ้น
หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ พุ่งขึ้น 2.9% หลังจากบริษัทประกาศแผนปรับลดพนักงาน 12,000 ตำแหน่งในยุโรปภายในสิ้นปีหน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับลดต้นทุนตามแผนปรับโครงสร้างเพื่อให้บริษัทกลับมามีกำไร
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤติ (Stress Test) ของภาคธนาคาร โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ เพิ่มขึ้น 1.1% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก เพิ่มขึ้น 1.07% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส เพิ่มขึ้น 0.3% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 1.4% และหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา เพิ่มขึ้น 1.04%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2562 ขยายตัวที่ระดับ 3.1% สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และเท่ากับตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 แต่ต่ำกว่าระดับ 3.2% ซึ่งเป็นตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1
ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 10,000 ราย สู่ระดับ 227,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ทางด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เพิ่มขึ้น 1.1% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์จะเพิ่มขึ้น 1.0%
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค., การใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน