ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นเกือบ 150 จุด ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือระดับ 27,000 จุด เป็นวันที่ 2 ในวันนี้ โดยได้ปัจจัยบวกจากการส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือนนี้
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐ ซึ่งจะเริ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยจะมีการเปิดเผยกำไรและรายได้ของธนาคารขนาดใหญ่ เช่น เจพีมอร์แกน เชส, ซิตี้ กรุ๊ป, โกลด์แมน แซคส์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 จะมีผลประกอบการดิ่งลงมากกว่า 2% ในไตรมาส 2
ณ เวลา 21.08 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 27,231.92 จุด บวก 143.84 จุด หรือ 0.53%
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นวานนี้ทะลุระดับ 27,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวแถลงการณ์ต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภา โดยเขายังคงส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ เช่นเดียวกับที่ได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันพุธ
นายพาวเวลกล่าวว่า เฟดจะดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่ปัจจัยลบหลายประการ เช่น ความตึงเครียดทางการค้า และความวิตกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก กำลังถ่วงแนวโน้มเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังระบุว่า การลงทุนของภาคธุรกิจในสหรัฐได้ชะลอตัวลงในระยะนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกำลังปรับตัวต่ำกว่าเป้าหมายที่เฟดกำหนดไว้ที่ระดับ 2%
นักลงทุนในตลาดการเงินคาดการณ์มากขึ้นว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 30-31 ก.ค. หลังจากที่นายพาวเวลส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้
ทั้งนี้ ในการสำรวจล่าสุด พบว่า FedWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์อัตราดอกเบี้ยสหรัฐของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 100% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 30-31 ก.ค. โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 77.6% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% จากปัจจุบันที่ระดับ 2.25-2.50% และมีโอกาส 22.4% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 1.75-2.00%
ก่อนหน้านี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 93% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.00-2.25% และมีโอกาสเพียง 7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 1.75-2.00%
หากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 30-31 ก.ค. ตามการคาดการณ์ ก็จะถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ของเฟดด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี โดยเฟดไม่เคยดำเนินการดังกล่าวนับตั้งแต่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ในปี 2551
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% เช่นกันในเดือนพ.ค.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI เพิ่มขึ้นเพียง 1.7% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2560 หลังจากเพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือนพ.ค.
ดัชนี PPI ได้รับผลกระทบจากการร่วงลงเป็นเดือนที่ 2 ของราคาพลังงาน แม้ว่าค่าใช้จ่ายในภาคบริการปรับตัวขึ้น
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PPI จะทรงตัวในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบรายปี
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหาร, พลังงาน และภาคบริการ ทรงตัวในเดือนมิ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ติดต่อกัน 2 เดือน
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พื้นฐานเพิ่มขึ้น 2.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 2.3% ในเดือนพ.ค.