ดัชนีดาวโจนส์พุ่งกว่า 200 จุดในวันนี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขภาคการผลิตของสหรัฐที่ซบเซา ทำให้นักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า
ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 300 จุดวานนี้ หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ไม่ได้ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ณ เวลา 21.48 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 27,067.27 จุด บวก 203.00 จุด หรือ 0.76%
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 61.2% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนก.ย. จากเดิมที่คาดว่ามีแนวโน้มเพียง 51%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้ม 100% ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพ.ย.
ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 51.2 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2559 จากระดับ 51.7 ในเดือนมิ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 52.0
ทางด้านไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.4 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2552 จากระดับ 50.6 ในเดือนมิ.ย.
ดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการที่ภาคธุรกิจลดการจ้างงานเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2556 ขณะที่คำสั่งซื้อใหม่หดตัวเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน ส่วนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับตัวลงเช่นกัน
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 8,000 ราย สู่ระดับ 215,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 214,000 ราย