ดัชนีดาวโจนส์ยังคงร่วงลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ โดยล่าสุดทรุดตัวลง 300 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
นายแลร์รี่ คุดโลว์ หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะไม่ชะลอ หรือระงับการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ แม้ว่าจีนมีการตอบรับที่ดีต่อสหรัฐก็ตาม
"ผมยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ โดยท่านประธานาธิบดีมีความไม่พอใจต่อความคืบหน้าในการเจรจาการค้าในขณะนี้" นายคุดโลว์กล่าว
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แทบไม่มีผลกระทบต่อตลาด
ณ เวลา 21.55 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,282.45 จุด ลบ 300.97 จุด หรือ 1.13%
กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 164,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 165,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 3.7% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 3.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงมากกว่า 3% ในสัปดาห์นี้ โดยเป็นการปรับตัวย่ำแย่ที่สุดในปีนี้ เมื่อเทียบรายสัปดาห์
สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักปรับตัวย่ำแย่ในเดือนส.ค. ขณะที่ดัชนี S&P 500 ประเดิมปิดตลาดวานนี้ ซึ่งเป็นวันแรกในเดือนส.ค. ดิ่งลงเกือบ 1% ขณะที่นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก "Stock Trader's Almanac" ระบุว่า เดือนส.ค.ถือเป็นเดือนที่ไม่ถูกโฉลกสำหรับนักลงทุนในตลาด โดยนับตั้งแต่ปี 2493 เดือนส.ค.เป็นเดือนที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของปี รองจากเดือนก.ย.
โดยในช่วงเกือบ 70 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงเฉลี่ย 0.1% ในเดือนส.ค. และร่วงลงเฉลี่ย 0.5% ในเดือนก.ย.
ตลาดการเงินเพิ่มคาดการณ์สู่ระดับเกือบ 100% ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า หลังจากที่ปธน.ทรัมป์ขู่เรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนครั้งใหม่ รวมทั้งสหรัฐมีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่ซบเซา
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาสถึง 95.8% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 17-18 ก.ย. จากระดับไม่ถึง 50% เมื่อวันพุธ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเพิ่มการคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีนี้ เป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ โดยมีแนวโน้ม 68.9% จากเดิมที่ระดับ 39%
ทางด้านนักวิเคราะห์ระบุเช่นกันว่า การที่ปธน.ทรัมป์ขู่เรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ จะเป็นปัจจัยทำให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าที่เฟดคาดการณ์ไว้ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจสหรัฐจากความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการค้า
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ทวีตข้อความวานนี้ ระบุว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษี 10% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย.
นายเบรตต์ ไรอัน นักวิเคราะห์จากดอยซ์แบงก์ ระบุว่า การประกาศของปธน.ทรัมป์ได้เพิ่มโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมมากกว่า 0.75% ในปีนี้
ส่วนนายลู เบรียน นักวิเคราะห์จากดีอาร์ดับเบิลยู โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า หากปัญหาทางการค้าได้ลุกลามกลายเป็นสงครามการค้าเต็มรูปแบบ เฟดก็คงไม่สามารถรักษาแผนการเดิมที่จะจำกัดการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหม่ของเฟดจะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียงการปรับนโยบายในช่วงกลางวัฏจักร แต่จะมีความจำเป็นในการป้องกันการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีกำหนดกล่าวแถลงการณ์ด้านการค้าเกี่ยวกับสหภาพยุโรป (EU) ในวันนี้เวลา 13.45 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือคืนนี้เวลา 00.45 น.ตามเวลาไทย
อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแถลงการณ์ดังกล่าว
ที่ผ่านมา รัฐบาลของปธน.ทรัมป์มีความขัดแย้งด้านการค้ากับ EU ในหลายประเด็น เช่น การเก็บภาษีรถยนต์, การซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐ รวมทั้งการที่ฝรั่งเศสมีแผนที่จะเก็บภาษีดิจิทัลต่อบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐ เช่น อเมซอน กูเกิล แอปเปิล และ เฟซบุ๊ก
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐลดลง 0.3% สู่ระดับ 5.52 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 5.53 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐจะลดลงสู่ระดับ 5.46 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.
หากปรับค่าตามเงินเฟ้อ สหรัฐขาดดุลการค้าลดลงสู่ระดับ 8.61 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.
กระทรวงพาณิชย์ยังเปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าลดลง 2.8% สู่ระดับ 1.371 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. ส่วนการนำเข้าสินค้าลดลง 2.2% สู่ระดับ 2.123 แสนล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ สหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนลดลง 0.8% ในเดือนมิ.ย. สู่ระดับ 3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยตัวเลขนำเข้าจากจีนลดลง 0.7% ขณะที่ส่งออกทรงตัว