ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงต่อเมื่อวันศุกร์ (2 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 10% ขณะที่นักลงทุนผิดหวังกับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ต่ำกว่าคาด และเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายหนึ่งแสดงความไม่เห็นด้วยกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดสัปดาห์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,485.01 จุด ลดลง 98.41 จุด หรือ -0.37% ขณะที่ ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,932.05 จุด ลดลง 21.51 จุด หรือ -0.73% และ ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,004.07 จุด ลดลง 107.05 จุด หรือ -1.32%
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 ปิดลดลง โดยหุ้นกลุ่มพลังงานนำตลาดร่วงลง 1.2%
หุ้นส่วนใหญ่ร่วงลงมากขึ้นในช่วงใกล้ปิดตลาด โดยหุ้นซิสโก ซิสเทมส์ร่วง 3.86%
แต่หุ้นพินเทอเรสต์ปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด โดยพุ่งขึ้น 18.52% หลังรายงานรายได้สูงเกินคาดในไตรมาส 2
นักลงทุนวิตกกับความตึงเครียดด้านการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังปธน.ทรัมป์ขู่เก็บภาษีนำเข้า 10% จากสินค้านำเข้าของจีนวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.นี้
นายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟดสาขาบอสตันระบุในแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ว่า เขาไม่เห็นความจำเป็นที่ชัดเจนสำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในเวลานี้ ขณะที่เขากล่าวแสดงความเห็นเกี่ยวกับการที่เฟดตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เมื่วันพุธที่ผ่านมา โดยนายโรเซนเกรนให้เหตุผลว่า เนื่องจากอัตราการว่างงานของสหรัฐอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น และเสถียรภาพทางการเงินเพิ่มขึ้นเมื่อพิจารณาจากราคาหุ้นที่อยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และจากหนี้สินของภาคธุรกิจ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 164,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 165,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 3.7%
มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นแตะระดับ 98.4 ในเดือนก.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 98.5 จากระดับ 98.2 ในเดือนมิ.ย.
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนมิ.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.8% หลังจากดิ่งลง 1.3% ในเดือนพ.ค.